Pages

Thursday, June 21, 2007

เบื่อคนอ่อนแอ

แปลกดี...

เราเจอคนหลายคนนะ ชอบมีอาการสับสนในตัวเอง

ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร

ทำไม...พวกเขาเหล่านั้นไม่มีฝัน ไม่มีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรบ้าง

หรือว่า..พวกเขาไม่รู้จักการมีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ

ไม่มีแรงจูงใจ ไม่มุ่งมั่น อ่อนแอ ไม่ลงมือทำอะไรเสียบ้าง

รอ รอ รอ รอคำสั่งจากใครเร๋อ

คนพวกนี้มักจะไม่สำเร็จในชีวิต

Thursday, May 17, 2007

โครตรักเอ็งเลย

ประมาณเที่ยงคืน ยังไม่ง่วงก็เลยหยิบ หนังเรื่อง โครตรักเอ็ง มาดู
จนหนังจบ ไม่อิ่มเลย

ปัญหาหนังไทย ยังคงเป็นปัญหาเดิม ๆ
บทหรือประเด็นของเรื่องดีอยู่แล้ว แต่คุมประเด็นไม่อยู่ เหมือนผู้กำกับยังเป็นคนโลภ อยากได้หลายอย่างในหนัง 2 ชั่วโมง
อยากได้หนังรัก หนังตลก หนังหักมุม หนังผี หนัง fantacy หนังช่วงหนังเละมาก ยัดเยียดทุกอย่างจนเสียของ

มีวัตถุดิบดีอยู่แล้ว ตัวละครเล่นดี เพลงเพราะ ฉากก็ดีแล้ว
ถ้าเป็นเรา เราจะจบเรื่องตั้งแต่นางเอกตาย แล้วพระเอกก็เศร้าที่ทุกอย่างไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้

แล้วฉากที่พี่พิงเล่น ก็เปลี่ยนเป็น พระเอก นางเอกที่เด็กกว่า เป็นบทที่จะปูให้คนดูเห็นว่า
ทั้งคู่พบรักและมีความรักกันได้อย่างไร ชอบไปกินข้าวที่ไหน ชอบทำกิจกรรมอะไรด้วยกันอย่างสนุกสนานตามสไตล์้


ช่วงที่พี่พิงเล่นกะน้องกิม เป็นฉากที่แย่มาก เล่นก็แย่ ไม่รู้สึกว่าประทับใจหรือตลกอย่างใด
สมกับที่เราก็รู้สึกกะพี่พิงว่า พี่พิงเป็นคนที่ไม่ตลก เพราะเป็นพ่อครัวที่ไม่กลมกล่อม ชอบยัดเยียดมุกตลกใส่คนดูแบบไม่เนียน

ช่วงครึ่งหลังที่เป็นหนังผี แล้วก็หักมุมหลอกคนดูเรื่องเดี๋ยวตาย เดี๋ยวไม่ตาย ไม่สมเหตุผลและไม่ตลกเลย มัวแต่คิดจะหลอกคนดูให้ได้ โดยไม่สนใจเนื้อเรื่อง

วิจารณ์น่ะง่าย ให้ทำเองก็ทำไม่เป็นค่ะ ได้แต่ดู
แต่พวกผู้กำกับ พวกคุณเป็นคนทำหนัง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำหนังให้มัน smooth น่ะ

หนังไทยที่ดูแล้ว เกือบดี ประมาณนี้ ก็มีเรื่อง เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล หนังมันดีอยู่แล้ว ถ้าตัดฉากตลก
พวกมาเฟียหัวโล้น ที่เล่นตบหัวกันไปมา มันไม่สมจริงเลย ตั้งใจจะตลกซะงั้น
เหมือนผู้กำกับ กลัวหนังไม่สนุก ไม่ตลก ก็เลยเติมตัวตลกเข้าไป เสียรสหนังหมด

Saturday, May 12, 2007

ช่วยตอบหน่อย "มาปาย ไปเที่ยวไหนดี"

ด้วยความที่อยู่มานานถึง 11 ปี เปิดร้านมาก็ 10 ปีกว่า
เราก็มักจะโดนคำถามซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหละ
ว่า "มาปายไปเที่ยวไหนดี"

บางทีก็มึนนะ ไม่รู้จะตอบว่าอะไร
ขนาดน้องแซะ น้องอิ๋ม น้องกิ๊ก เกิดในปาย แต้ ๆ (เป็นน้อง ๆ ที่ร้านมิตรไทย ถ้าใครมาเที่ยวปายช่วงนี้
ตอนเช้าๆ ที่ร้านมิตรไทย จะได้ป๊ะ กะน้อง ๆ วัยสะรุ่นกว่าเจ๊เยอะ ใจดีกว่า ยิ้ม แต่ก็ยังกวน ๆ นี้หน่อยน้า) ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามให้เป็นที่พอใจนักท่องเที่ยวได้

ถ้าใครตอบได้ช่วยบอกใน comment หน่อย
บางทีคนที่มาเที่ยวอาจมีความรู้สึกแบบเดียวกัน

อยากลองเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศของการสนทนาให้ฟัง
แบบเหมือนจริงทุกเม็ด ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้น หรือมีเรื่องอะไรหรอก
แต่มันเป็นบรรยากาศแบบหนังสั้น
เหมือนไม่มีใครพอใจในบทสนทนา แล้วก็เงียบ ๆ กันไป

เธอเป็นผู้หญิงเรียบ ๆ ในสายตาฉัน เธออายุราว 40 ปี จริง ๆ ก็เท่ากับฉัน
แต่ฉันรู้สึกว่า เธอแก่กว่าฉันสัก 10 ปี
เธอเข้ามาที่ร้าน ดูของในร้านอย่างไร้อารมณ์ เหมือนไม่รู้สึกชอบ พอใจ หรือเกลียด คน สัตว์ สิ่งของ และสสารทั้งหมดร้าน
คือไม่ได้รู้สึกว่า ทุกคนเข้ามาที่ร้านจะต้องชื่นชมของเรา แต่เธอทำเหมือน nothing in the world
อาจจะแฝงความรู้สึกสงสัยลึก ๆ ว่า มาเดินทำไมร้านนี้ คือถ้ามีอารมณ์สงสัยอย่างว่านั้นก็นิดเดียวเท่านั้น แทบจะเรียกได้ว่า หน้าตาเฉย ๆ มันน่าเบื่อมาก ๆ สำหรับฉัน

เธอหันมาถามฉันว่า "มาปายนี่ เค้าไปเที่ยวไหนกันคะ"
ฉันก็ถามกลับว่า "ชอบเที่ยวแบบไหนคะ"

น่าน มึน ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ต้องหันไปถามเพื่อนต่อ
เราชอบเที่ยวแบบไหนอ่ะ

เพื่อนของเธอเองก็ยังงงค่ะ
เราเห็นว่า เงียบไปนาน

ก็เลยแนะนำว่า ตอนเช้า ๆ น่าจะไปเที่ยวน้ำพุร้อน นอนแช่น้ำ
เขาก็บอกกันว่า เมื่อตอนเย็นไปมาแล้ว

"งั้นขับรถมาใช่มั๊ยคะ ก็ลองขับรถเที่ยว ไปปางปะผ้า เข้าถ้ำลอด"
"มันสวยหรือคะ"
ก็ไม่รู้นะ ก็ถ้าชอบผจญภัย มันก็น่าสนุก แต่เราไม่ชอบอะไรมืด ๆ ก็ถ้าชอบดูหินงอกหินย้อยก็น่าไป
คือมันดังน่ะค่ะ ค้นพบโดยฝรั่ง และก็ได้ลงหนังสือบ่อย พวกสารคดี"

พวกเขาก็เงียบกันไป ไม่มีไอเดีย เดินออกจากร้านไปเมื่อไหร่ เจ๊ยังไม่รู้เลย เงียบจริง ๆ

ไงคะ ใครมีความเห็นเรื่อง มาเที่ยวปาย ไปเที่ยวไหนดี หรือเปล่าคะ

สำหรับเราถึงแม้จะอยู่มานาน เราก็ยังไม่เที่ยวเบื่อปายเลย
ตื่นเช้ามาก็อากาศแจ่มใส น่านอนไปเรื่อย ๆ มาก วิวก็สวยทุกวัน ภูเขาล้อมรอบ ใกล้เข้ามาเป็นทุ่งนา
มันก็เหมือนมาเที่ยวทุกวัน เหมือนเราเช่า รีสอร์ทนอนทุกวัน ทุกวันนี้ได้บรรยากาศมาก ๆ เพราะเรากางเต็นท์นอนห้องใต้หลังคากันทุกคืน

คิดถึงวันแรกที่มาปาย เราไม่มีคำถามเลยว่า มาปายเที่ยวที่ไหน

เราชอบเที่ยวตลาดเช้าเมืองปาย เดินหากาแฟ บ้าน ๆ หาขนมบ้านที่ราคาชาวบ้าน ถึงแม้ไม่ค่อยอร่อยเหมือนร้านดัง ๆ ในเมือง แต่บรรยากาศแบบบ้าน ๆ อากาศดี ๆ ตามฤดูกาล ไม่รีบร้อน มองดูผู้คนในปาย เดินไปมาจับจ่ายในตลาด ดูเขาแต่งตัว ฟังเขาพูดคุย แซวกัน
คุยเรื่องหวย เรื่องการเมือง เรื่องบ้านโน้นบ้านนี่ ตัวละครเต็มไปหมด ลุงดมขายกาแฟ พี่ยู่ยี่ฉายาที่ลุงดมแกตั้งให้ก็แวะมากินกาแฟทุกเช้า ลุงขายล็อดเตอร์รี่ ชาวบ้านขาประจำ นักท่องเที่ยวพวกฮิปปี้ ที่ตื่นเช้า หรือบางคนก็ยังไม่ได้นอน
ก็มาหากาแฟถูก ๆ กินกัน

เรายังชอบไปน้ำพุร้อนทุกหน้าหนาว ไปนอนแช่น้ำ แช่เท้าก็ยังดี เราชอบถ่ายรูป ชอบวาดรูป ชอบขี่จักรยาน ชอบอ่านหนังสือ ชอบเดินด้วย ยังมีหมู่บ้านที่เรายังไม่ได้ไปเดินเล่น ถ่ายรูปอีกมากมาย

ในหนึ่งวันมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมาก
คือเรารู้สึกว่าทุกอย่างมันคือการเที่ยวอ่ะค่ะ
การเดินไปแล้วเห็นร้านอาหาร ป้ายบอกเมนู ป้ายบางทีมันก็บอกถึงความเก๋า ความอร่อยได้เหมือนกันนะ ถ้าชอบใจเราก็เข้าไปกิน ก็รู้สึกว่าสนุกแล้ว ไม่จำเป็นต้องดังมาก่อน
แต่ก็ให้เห็นแล้วรู้สึกว่าน่าจะอร่อย เราก็เข้าแล้ว

อยากไปเที่ยวไหนก็อ่านหนังสือ หรือป้ายบอกทางต่าง ๆ มันน่าค้นหาทั้งนั้น
หมู่บ้านแม่ปิง หมู่บ้านจีนยูนนาน

มันเหมือนไม่รู้จะทำอะไรที่ปายดี สำหรับคนอื่น ๆ
แต่เรามีกิจกรรามเต็มเลย แต่บอกไป เขาก็ไม่ได้ชอบแบบนี้

ที่เที่ยวที่นึกขึ้นได้ก็มี กองแลน น้ำตาหมอแปลง น้ำตกจ่างม่าง
คนชอบถามกลับว่า มันสวยเหรอ

มันก็ไม่สวยแบบสุดยอด คือเจอคำถามแบบนี้แล้วรู้สึกฉุนน่ะ
ถ้าจะมาเที่ยวแบบทุกอย่างสุดยอดก็ไม่อยากให้มาปายเลย
มาแล้วก็มานั่งด่าปายกัน

เราว่า คนมาเที่ยวน่าจะสำรวจตัวเองบ้างว่า ชอบเที่ยวแบบไหนกันแน่
ก็หาที่เที่ยวที่มันเหมาะกับตัวเอง

Tuesday, May 8, 2007

ตอนที่ 9 การเดินทางปีที่ 4

ปีที่ 4 เราเริ่มมีมอร์เตอร์ไซด์ ก็เริ่มรู้สึกว่าเราขี่รถเที่ยวได้นี่หว่า
เราอยากขี่รถไปดอยแม่สะลอง และ แม่สาย ค่ำไหนนอนนั่น เหมือนเดิม
กางเต็นท์เอา
เราเดินทางเดือนกันนายน เพราะเป็นเดือนที่มีคนมาเที่ยวปายน้อยที่สุดในรอบปี
เป็นเดือนแห่งการพักผ่อน เพื่อรอคอยหน้าหนาว และนักท่องเที่ยวก็จะเริ่มมากัน
เราก็ขี่รถจากปายตอนเช้า มีกระเป๋า 2 ใบ ใบแรกอยู่หนังเฮีย อีกใบอยู่หน้าหว่างขาคนขี่
ซึ่งเป็นเราเอง อย่างงเลย ผู้หญิงขี่ เฮียซ้อน
honda 100 รุ่นนันทิดา ประมาณนั้น ซื้อมือ 2 มา 17,000 สภาพดีมาก เครื่องแน่น
ไปมาเชียงใหม่ทุกเดือน ก็มียางแตกครั้งแรกที่ไปเชียงใหม่ทีเดียว

จำได้ว่าวันที่ออกเดินทางก็ฝนตกหนัก เราไปติดฝนที่เลยแม่แสะไปหน่อย ไปนอนรอที่ตูบข้างทาง
ฝนหยุดก็ขี่รถต่อ โดยเอาชุดกันฝนไปทั้ง 2 คน

Tuesday, May 1, 2007

A piece of Pai

a piece of pai photograph by gummy
----------------------------------------
ภาพ​ทั้ง​หมดถ่าย​ใน​วันเดียว​กัน​ ​พอดี​เป็น​วันตรุษจีนปี​ 2548 ​เป็น​ปี​แรกที่หมู่บ้านจีนยูนนาน​ ​ที่มีชื่อว่า​ หมู่บ้านสันติชล​ เริ่มเปิดตัว​ให้​เป็น​สถานที่ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
มี​โรงเตี้ยมขายอาหารจีนเด็กๆ​ ​ผู้​ใหญ่​หันมา​แต่งตัวแบบจีนๆ​กัน​ ​รองเท้าจีน​ ​และ​เขา​ก็ทำ​ชิงช้า​ไม้​ให้​เด็ก​.​และ​นักท่องเที่ยว​ได้​เล่น​กัน​หนุกหนาน
เจ๊ก็​เลยคว้ากล้องโอลิมปุส​กับ​ฟิล์มสไลด์​ kodak 100 ​ถ่ายอย่างเมามัน​ ​แล้ว​ล้างสี​จะ​ทำ​ให้​ได้​สีสันฉูดฉาดแบบเพี้ยน​​ ​ๆ
งานชุดนี้​เจ๊​ได้​แสดงงานที่​ mitthai art gallery ​ที่ปาย​​ ​
เมื่อวันที่​ 15 ​กัน​ยายน​ถึง​ 31 ​ธันวาคม​ 2548 ​เป็น​แกลเลอรี่ของเจ๊​เอง
มี​ทั้ง​หมด​ 39 ​ภาพ
ถ้า​ใครอยาก​ได้​เอา​ไว้​ชื่นชม​ส่วน​ตัว​ เจ๊มี​ catalog ​รูปภาพที่คัด​แล้ว​ 28 ​รูป​ใน​กล่องเหล็ก
เอา​ไว้​เป็น​ที่ระลึกลึก​ ​ใน​ห้อง​ส่วน​ตัวของคุณ​ได้​ ​ใน​ราคา​ 330 ​รวมค่าส่ง​แล้ว​ ​ด้วย

อยากดูรูปเยอะกว่านี้กดตรงนี้หรือที่รูปก็ได้

Monday, April 30, 2007

ตอนที่ 8 การเดินทางปีีที่ 2-3

ต่อเลยนะ...
คืนสุดท้ายที่เราถูกชาวบ้านเรียกให้ไปนอนกับพ่อหลวง หลังจากที่พวกเขากลับไป
เราก็คุยกันในเต๊นท์ว่า เริ่มไม่สนุกแระ เริ่มมีกังวล ก็เลยตกลงว่างั้นเราถอยกลับไปที่ขุนยวม โดยโบกรถ เดินคงไม่ไหว เดิน 7 วันเชียวนะ โบกรถน่ะ ครึ่งชั่วโมงถึงขุนยวม
ิแล้วนั่งรถแดงไปเชียงใหม่ แล้วต่อรถทัวร์ไปกรุงเทพ แล้วต่อรถที่สายใต้ไปชุมพร แล้วไปที่ท่าเรือไปเกาะเต่า ขึ้นเรือ ห้าทุ่มมั้ง ไปถึง ตี 4 หรือ 5
เรามาถึงก็เดินหาที่พัก แต่ตอนนั้นค่าที่พักคืนละ 300 บาทของเราก็แพงแล้วอ้า
เพราะเราจะเที่ยวประมาณ 10 วัน เราก็เลยเดินเข้าไปในหมู่บ้านของชาวบ้าน มีชาวบ้านใจดีให้เรา
กางเต๊นท์และเราก็เลยขอน้ำบาดาลอาบน้ำ เราอาบแบบประหยัด ๆ สุด ๆ 5 ขัน เอาแค่หายเค็มพอ เพราะอาบน้ำในทะเลแล้ว

ส่วนห้องน้ำ เราก็อาศัยใต้ต้นมะพร้าวต้นเดียวกัน ใช้มันกันทั้ง 2 คนเลย มันคงเปรมหรือไม่ก็ระอาของของเราเป็นเวลา 10 วัน
ฉันจำเป็นต้องใช้หลุมเดิม ขุดแล้วก็กลบด้วย เพราะมันเป็นพุ่มสวรรค์พุ่มเดียวที่ปลอดภัย ก็ต้องทนดมของตัวเอง และระวังขุดเจอของเก่าของใครก็ไม่รู้อีกต่างหาก
็โครตเสียวมะพร้าวหล่นใส่หัวเลย
อึไปมองฟ้าไป ขออย่าให้มันเกิดขึ้นกับฉันเล้ยยยย

และแล้ว...
เช้าวันหนึ่ง ไม่รู้่ใครเอาควายมีเขาใหญ่มากกก มาปล่อยกินหญ้าแถวหลังบ้าน
ไอ้เราก็ปวดหนักด้วยอ้า ต้องปล่อยของที่ใต้ต้นมะพร้าวต้นนั้น เรา็ต้องมองมันตลอด มันไม่ไว้ใจเรา เราก็ไม่ไว้ใจมัน แล้วมันก็ทำท่าจะเดินมาหาฉัน
จังหวะที่กะลังกลัวควาย มะพร้าวมันก็หล่นลงมา อีกแค่ 2 นิ้ว หวิดหวิวมากเกือบหัวโน
รีบ ๆ จัดการธุระให้เสร็จโดยด่วน

ใน 10 วันในเกาะเต่า เราใช้ขาเดิน ๆ ไปทุกที่ ในหนึ่งวันเราจะออกเดินทางไปตามหาดต่าง ๆ วันละหาด
อากาศเดือนมีนาคม ร้อนดี เล่นน้ำเลยสนุก ไม่หนาว ร้อนก็ลงน้ำ ขึ้นมาก็วาดรูป นอนอ่านหนังสือ

เล่นจนบ่ายก็เดินกลับก่อนเย็น
ไม่ได้เที่ยวผับไหนเลย มัวแต่ประหยัดกะตัง
เราพบว่าอาหารตามร้านชายหาดแพงจริง ๆ ขนาดแค่เป็นเพิง ๆ ที่อยู่ริมทะเล
ผัดไทยหรือข้าวผัดผักไม่มีเนื้อใด ๆ จานละ 60 บาท

เราเลยต้องเดินหาตลาด และหาร้านที่เป็นเพิงจริง ๆ ก็พอหาได้
ข้าวราดตามสั่งจานละ 35 บาท ยังโอนะ

เราไปที่ตลาดซื้อปลามา 1 ตัว ตัวใหญ่มาก 75 บาท ซื้อขนมปังชิ้นละ 8 บาทบ้าง ก็กลับมาหุงข้าว กินมาม่าบ้าง กินที่ตลาดบ้าง
แต่ก็สนุก ไปหาดไหนก็เล่นน้ำ วาดรูป หิวก็ชงกาแฟกินเองกับขนมปังใส่ทูน่า แต่ต้องแอบ ๆ ทำ เพราะเจ้าของหาดแต่ละที่มักมีป้ายเขียนไว้ว่า ห้ามนำอาหารข้างนอกเข้ามาทาน เราก็ต้องสั่งอะไรของเขามากินบ้าง แต่เขาก็คงรู้ว่า เราเป็นพวกประหยัดมาก ๆ

เป็นประสบการณ์เที่ยวทะเลที่นานที่สุดตั้งแ่ต่เกิดมา
มันช้า ๆ ไม่รีบดี ได้เล่นทะเลสะใจ ว่ายน้ำ ดำดูปะการัง มันอลังมาก
ตื่นเต้นด้วย กลัวด้วย
อยากไปอีก แต่ทุกอย่างคงแพงขึ้นไปอีก

ตอนนี้ก็อยากไปทะเลอีก แต่เหมือนชีพจรการเดินทางของเราหยุดเต้นไปประมาณ 3 ปีแล้ว
อยากไปทะเล แล้วก็อยากอยู่บ้านด้วย
อยู่บ้านก็มีอะไรรอให้ทำเต็มเลย
จัดบ้าน ทำสวน ทำงานร้าน คิดของขาย
เพื่อน ๆ ที่ปายก็สนุกทุกวันอยู่แล้ว
ขนาดเพื่อน ๆ ไปเที่ยวกันหมด เรายังอยู่อย่าง happy มาก ๆ
ไม่เหงา เพราะเรามีอะไรที่สนุกรอทำอีกเยอะแยะ

มีแต่คนมาลุ้นว่า เมื่อไหร่ เราทั้งคู่จะไปเที่ยวสักที
เราจะบอกยังไงดีว่า เรามีความสุขอยู่แล้ว ความอยากไปเที่ยวมันเลยน้อยลง
มันเหมือน ทุกวันนี้อยู่ปาย ก็เหมือนเที่ยวทุกวัน อากาศดี วิวภูเขา ทุ่งนาเขียว ๆ
มันสบายมาก ๆ แล้วอ้า



Tuesday, April 24, 2007

ตอนที่ 3 ปีที่ 2 และ 3 เดิน 7 วัน ได้ 20 โล

เล่าต่อนะจั๊ม

ช่วงที่เราเดิน 7 วัน เราได้วาดรูปด้วย เป็นสีน้ำ
ก็อาศัยดู form จาก landscape และดูสี แล้ววาดออกมาเป็น abstract
มันเป็นช่วงการฝึกหัดการวาดรูป ฝึกการคิดให้เป็นระบบ
เราคิดอะไรอยู่ตอนวาด หรือเราจะวาดอะไร วาดไปเพื่ออะไร

ในตอนนั้นคิดว่า อยากเดินทางไป และฝึกวาดไป
ไปหาแรงบันดาลใจเอาข้างหน้าได้ฝึกรู้จักสีต่าง ๆ
สีเหลืองมาเจอกับน้ำ เจอกันสีน้ำเงิน เจอกับส้ม เจอกับแดง
หรือในภาพหนึ่งไม่ต้องมีสีเยอะ มีแ่ค่ 2 สีก็พอ แต่มีหลายเฉด อาศัยน้ำน้อย น้ำเยอะ

อยากเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเราเคยเดิน เดิน เดิน เป็นโล ๆ กางเต็นท์
ก่ิอกองไฟ ทำกับข้าว

การเดินในครั้งนั้น ถึงแม้เราไม่คิดจะประหยัด มันก็ต้องประหยัดหล่ะ
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปซื้ออะไร ให้ซื้อที่นะเร๋อ ไม่ได้อยากอยู่สักหน่อย แล้วก็ไม่มีตังค์หรอกตอนนั้น ไม่งั้นจะเดินเที่ยวเร๋อจ๊ะ

ประมาณวันที่ 3 ของการเดิน อยู่ในหมู่บ้านกระเหรี่ยง ที่มีบ้านเป็นเพิง ๆ ประมาณ 2 - 3 หลังอยู่ริมถนน
มีร้านหนึ่งขายพวกผัก ปลากระป๋อง มาม่า

เรารู้สึกอยากกินข้าวกับผักบ้าง ผักอะไรก็ได้ เพราะเรากิน มาม่า ปลากระป๋องมาหลายมื้อแล้ว
ในร้านเพิงนั้นมี ผักชีอยู่อย่างเดียว เราก็เลยถามเขาว่ามีผักอย่างอื่นบ้างมั๊ย อะไรก็ได้

เขาต้องเข้าไปหลังบ้าน ไปหยิบ พักทองที่แก่ได้ที่ ผิวเป็นสีน้ำตาลทั้งลูก เขาบอกว่า 5 บาท
มื้อแรกอร่อยมากเลย ฉันทำพักทองผัดไข่ใส่กระเทียมด้วย และมีมาม่าอีกหนึ่งห่อ
มื้อเช้า ฉันต้มฟักทอง แล้วโรยน้ำตาลกินเป็นขนมหวานกับกาแฟ
มื้อเที่ยง ก็ฟักทองผัดกับน้ำมันแล้วใส่ปลากระป๋องกินกับข้าวสวยร้อน ๆ

มื้อเย็น คู่หูบอกว่า กรูไม่เอาฟักทองแล้วนะ มันเลี่ยน

รู้ปะว่า ที่เราืทำฟักทองกินกัน 3 มื้อนั่น ยังไม่ครึ่งลูกเลย
ถ้าทำกินให้หมดคงใช้เวลาประมาณ 10 มื้อ ก็ 3 วันถึงจะหมด

แล้วเฮียบอกว่า กรูไม่แบกฟักทองนี่เดินไปด้วยนะ

ฉันก็เสียดาย เดินแบกฟักทองที่เหลือออกเดินทาง
พอเจอชาวบ้านแถวนั้นเป็นลุงกะป้ากะลังแบกฟืนอยู่
เราก็เลยเอาฟักทองที่เหลือให้เขาไป

สบายเรา คือไม่เหนื่อยแบกต่อ และไม่ต้องรับผิดชอบมันอีกต่อไป

หลงรักหนังเกาหลี

มา 2 - 3 ปีมานี้ ฉันเพิ่งจะไ้ด้ดูละครหรือหนังเกาหลี หลายเรื่อง
และฉันก็ต้องประหลาดใจกับความเจริญทางศิลป ทางความคิด
ความเข้าใจสังคม เข้าใจมนุษย์มากกว่าคนไทย

ไม่รู้สิ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว อาจจะผิดหรือถูก ไม่สนใจ
แต่อยากจะเขียนความคิดเห็นส่วนตัวในขณะนี้

ละครไทยยังไม่มีความเป็นจริงของมนุษย์
คนชั่วไม่ใช่ว่าจะชั่วทุก 24 ชั่วโมง
และคนดีก็อาจจะโง่ และทำอะไรชั่ว ๆ ได้ ในทุกวินาที

ละครบางเรื่องอาจจะไม่ต้องมีนางอิจฉาที่เลว ๆ ก็ได้
แต่เป็นนางรองที่มีบุคลิกและความคิดเห็นไม่เหมือนกับนางเอกก็ได้ บทมันจะพอ ๆ กัน

ดูหนังเกาหลี แล้วทำให้คิดพล็อตได้เป็นเรื่อง ๆ เลย

มันจะเป็นยังไง ถ้าคนที่เป็นแฟนกันตั้งแต่เรียน จบมาก็ต่างคนต่างทำงาน แล้วก็ตกลงแต่งงานกัน
แล้วต่างฝ่ายต่างเก็บความไม่พอใจของแต่ละฝ่ายไว้
ทั้งคู่ก็เป็นคนที่มีความคิด ชอบพูดคุย ชอบอ่าน เป็นพวกไฮเปอร์
ดูข้างนอกเหมือนจะ perpect เหมือนรักและเข้าใจในทุกสิ่ง

แล้ววันหนึ่งเธอก็รู้สึกเกลียดเขาเข้าใส้
ทำไมฉันต้องมาซักเสื้อกางเกงให้นายคนนี้
ทำกับข้าวให้เขา
นอนข้าง ๆ เขา

จู่ ๆ ก็หมดรัก มันเบื่อความเป็นตัวเขาทุกอย่าง
เพราะเขาไม่เคยสนใจในความรัก

ในมุมของเขา ไม่เคยคิดเรื่องอื่นเลย
ให้คิดภาพเป็นนายปลื้มนะ
เป็นคนไฮเปอร์ ชอบทำงาน หาความรู้

ไว้ว่าง ๆ จะเขียนเป็นบทหนังมั่งเนอะ

อ่า...คุ้น ๆ ใช่มะ มันคล้าย ๆ กับละครเกาหลีเรื่อง จำไม่ได้ ยังไงก็รักเธอ ช่อง 7 8.30 น.

หลงรักหนังเกาหลีซะแล้วสิ

Sunday, April 22, 2007

วันนี้ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็เป็นแบบนี้บ่อย ๆ

อากาศร้อนมาก
เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่นอนเปิดหน้าต่างทั้ง 2 บาน
และมีพายุโซนร้อนพัดผ่านมาแรงมาก
เคยฟังเสียงลมมั๊ยล่ะ
ที่บ้านกลางทุ่งมันเงียบมาก เลยได้ยินเสียงลมล้วน ๆ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ อากาศร้อน แต่ก็มีคนมาเที่ยวบ้าง
วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง
ตอนเช้าทำผัดผัก กับปลาราดพริกกระป๋อง
แล้วก็จัดเสื้อที่มาใหม่ จัดใส่ตู้
แล้วก็มาเปิดร้านตอนบ่าย
ขายของไปเล่นเน็ตไป ดูทีวีไป
ช่วงนี้ติดมังกรหยก
แล้วก็กินกาแฟตอนเย็น
แล้วก็ดูปังคุณกับมณีดิน
ท้องใส้ไม่ค่อยดีเลย มันอืด ๆ
แต่ก็โอเค ผ่านไปแบบสบาย ๆ

Friday, April 20, 2007

ขอบคุณ ลูกค้าที่น่ารัก

วันสงกรานต์ที่ผ่านมา
มีลูกค้าพ่อ แม่ ลูกสาว 2 คน เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก
เค้าว่า พ่อกับแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมที่กรุงเทพ
คุณแม่บอกกับเรา ร้านน้องก๋ำ ทำให้ครอบครัวพี่มีความสุขมาก ๆ
เราก็อยากจะบอกว่า ครอบครัวของคุณก็ทำให้เรามีความสุขเช่นกัน

เราชอบที่เห็นคนที่มาในร้านมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ
เพราะเราชอบ เราถึงทำ
และมีคนมาชอบที่เราทำ
ช่างเป็นกำลังใจที่ดีแท้
ทุกวันนี้ ของเลยเต็มร้านเลย
เพราะกำลังใจเยอะจิง ๆ

ของเล่นใหม่ของร้านมิตรไทย

ตอนนี้เรามีของเล่นชิ้นใหม่ ใครมาที่ร้านจะเห็นป้ายเขียนไว้ว่า
postcard บัดเด๋วนี้
นั่นคือ คุณสามารถทำโปสการ์ดด้วยรูปถ่ายฝีมือของคุณเอง ง่าย ๆ
แค่เอา memory stick หรือ SD หรือ CF ในกล้องถ่ายรูปออกมาเสียบที่เครื่องปริ๊น
ไม่นานพอตดหายเหม็น เครื่องจะทำการปริ๊นรูปที่เลือกไว้
สามารถเลือกให้ปริ๊นทีละรูป หรือจะเลือกทำเป็น 2P หรือ 4P ก็ได้
มันตื่นเต้นนะคุณ ไม่ลองไม่รู้หรอก
พิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดี และพิมพ์ด้วยระบบฉายแสง 3 สี เหลือง แดง ฟ้า จากนั้นก็เคลือบทำให้อยู่ได้ ถึง 100 ปี เราคงตายไปก่อน แต่โปสการ์ดฝีมือเรายังอยู่คู่โลก
ไม่ทำไม่ได้แล้ว

เจ๊....ของปริ๊นรูปหน่อยคร้าบบบบบ

เดิน 7 วัน ไ้ด้ 20 กว่าโล

ปีที่ 2 ปี 2540 เราเปิดร้านมิตรไทย เป็นไปอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่ก่อนมาปาย ว่าเราจะเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ขายนักท่องเที่ยว เปิดได้ประมาณอาทิตย์นึง เริ่มขายไม่ค่อยได้ เลยรู้สึกว่าเราต้องขายอาหารด้วย
พอขายอาหาร ก็เลยมีคนมากินกันทุกวัน ปากต่อปาก ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งพวกเดินทางนาน ๆ มีอาชีพเป็นศิลปิน เล่นดนตรีบ้าง วาดรูปบ้าง สถาปนิกบ้าง คอมพิวเตอร์ กราฟฟิคดีไซด์ ผู้กำกับ คนทำหนัง หลาย ๆ อาชีพ มารวมตัวกัน พูดคุย กินดื่มกันที่ร้าน
แต่ที่ปายในปีนั้นมีหน้าโลวซีซั่นชัดเจน นับคนมาเที่ยวได้เลย ประมาณเดือนมีนาคม 2541 อากาศกำลังดี ไม่หนาวมาก และไม่ร้อนมาก แต่จะแล้งหน่อย ๆ ดีตรงที่ฝนไม่ตกแน่ ๆ
เราก็เลยมีแผนไปเที่ยว ตอนนั้นเรามีจักรยานคนละคัน
ก็เลยคิดว่า เราจะโบกรถ หรือไม่ก็นั่งรถโดยสารประจำทางไปที่ขุนยวม
และจะตั้งใจเดินจากขุนยวมไปแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ แบบไม่รีบ เหนื่อยก็หยุด มีเวลาเดินทางทั้งสิ้น 1 เดือน
เตรียมอาหารแห้ง มาม่า ปลากระป๋องและน้ำ ที่สามารถอยู่ได้ 7 วัน คือถ้าหมดก็แวะซื้อตุนไปเรื่อย ๆ
แค่นี้ก็หนักกระเป๋ามากเลย มีทั้งเตาแก๊สพกเล็ก เอาไว้ต้มน้ำชงกาแฟตอนหยุดพักเดิน
ค่ำไหนนอนนั่น กางเต๊นท์บ้าง นอนตามตูบนาของชาวบ้านบ้าง ชอบตรงไหนก็พักนาน ๆ
อาบน้ำตามลำห้วย เราเดินตามลำห้วย เจอชาวบ้านใจดีชวนไปนอนบ้านด้วย แต่เราอยากนอนเต๊นท์
พอกางเต้นท์หรือมีที่พักแล้ว เราก็หามุมบันทึก วาดรูป ทำกับข้าวกินกัน
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะลุยน่าดู ตอนนั้นไม่กลัวอะไรเลย รู้สึกอยากทำ ท้าทาย สนุก และได้เดินกับคู่หู 2 คน มันก็โอแล้ว
ทำได้อยู่ 7 วันในคืนนั้น เราเข้านอนแล้วในเต็นท์ ประมาณ 3 ทุ่ม ก็มีกลุ่มชาวบ้านมากัน 3 คน ส่องไปฉายมาที่เต็นท์ เรียกเราตื่น บอกให้เราไปนอนที่บ้านพ่อหลวง เราบอกชาวบ้านว่าไม่ต้องห่วง เราจะเดินทางต่อวันพรุ่งนี้ไปหมู่บ้านข้างหน้า เขาก็เลยบอกว่า ทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย เพิ่งมีโจรพม่าปล้นรถกะบะ เขาบอกว่าถ้าเดินทางมีแต่ผู้ชายเขาจะไม่ห่วง แต่เราไม่อยากย้ายที่พัก เราก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ เราจะนอนแค่คืนเดียว
เขาบอก ว่าพรุ่งนเช้าี้ให้ไปหาพ่อหลวงด้วย เราก็ตอบรับไป
วันรุ่งขึ้นเราโบกรถกลับเข้าตัวเมืองขุนยวม ตีรถจากขุนยวมไปเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพจากรุงเทพไปสุราษฎ์ธานี ขึ้นเรือไปเกาะเต่าในคืนนั้น ใช้เวลา 2 คืน เราก็ถึงเกาะเต่า
ในขณะที่เราเดิน 7 วัน ได้แค่ 20 กว่ากิโลเิอง
แต่ก็สนุกมาก
พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อนะ
เดินได้อยู่ 7 วันเองเสียดายนะ ทำตอนนี้คงไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าฮึดก็ไม่้แน่

Tuesday, April 17, 2007

ตอนที่ 1 การเดินทางปีที่ 1 ของ gummy in pai ชื่อตอนอยากทำอะไรจงทำ

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ปาย 11 ปี เราได้เดินทางไปไหนมาบ้างหนอ

จะเล่าเป็นตอน ๆ ไป
เราย้ายมาปายเมื่อปี 2539 วันที่ 16 มีนาคม
ปีแรกเราอยู่ที่ปาย เป็นปีที่สนุกมาก ไม่ค่อยทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ก็ทำให้ฝึกเป็นคนมองโลกแบบใหม่
เราจะทำในสิ่งที่เราอยากทำ โดยไม่คำนึงว่ามันจะได้เงินมากเท่าไหร่

ฉันได้ทำหลายอย่าง เป็นสิ่งที่อยากทำตอนอยู่กรุงเทพ แล้วได้แต่อ้างว่าไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ชอบ
ฉันนอนอ่านหนังสือทั้งวัน อ่านแล้วก็หลับ ตื่นมาก็อ่านต่อ ทำกับข้าว กิน แล้วก็อ่าน นอนดูทีวี
ตอนเช้าฉันจะขี่จักรยานไปตามที่ที่ขี่ไปได้ ไปในที่ ๆ ไม่รู้ว่าที่ไหน ขี่ไปเดี๋ยวก็รู้เอง
ชอบที่ไหนก็ไปบ่อย ๆ อย่างหน้าหนาว ชอบขี่ไปน้ำพุร้อน ก็จะขี่ไปเกือบทุกวัน ไปนอนแช่น้ำครึ่งชั่วโมง
การที่เราหนาว แล้วได้ออกกำลังกาย แล้วนอนแช่น้ำร้อน ไม่มีอะไรมาเร่งรีบ มันสุดยอด
บางครั้ง ฉันก็ถือย่าม ใส่หนังสือไปสัก 2 เล่ม กาแฟใส่กระติกน้ำร้อน เดินออกจากบ้าน ไปตามท้องทุ้งท้องนา ไปตามที่มันมีทางเดิน มันทำให้เรารู้จักเส้นทางใหม่ ๆ เข้าใจ landscape ของปายมากขึ้น
ฉันไ้ด้ฝึกวาดรูป วาดหมึกจีน วาดสีน้ำ แล้วก็กระเถิบวาดสีน้ำมัน

ฉันชอบการเดินทางปีที่ 1 มาก เพราะฉันรู้สึกได้ว่า
มันเป็นการเดินทางไกลมากกว่าที่เราเคยไป
มันเป็นการเดินทางที่นานที่สุดที่ฉันเคยเที่ยว
มันเป็นการเดินทางภายในจิตใจ เรียนรู้ความรู้สึกของตัวเองอย่างช้า ๆ ว่าเราเป็นใคร เราเหมาะจะเป็นอะไร เรามีความสุขกับอะไร เข้าใจในความเป็นมาของความรู้สึกต่าง ๆ
มันเป็นการเดินทางที่เป็นบทเรียนชีวิตให้มองโลกแบบใหม่ ช้าลง นิ่งขึ้น
รู้จักการมีความสุขอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องมีเงินเยอะ เราก็รู้สึกอยากทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่ต้องใช้เงินมากมาย
มันทำให้ทุกเช้าตื่นด้วยความกระปี้กระเปร่า

ี่

Thursday, April 12, 2007

ฉันเป็นคนไม่ดี

วันนี้รู้สึกอึดอัดกับประเทศนี้มาก ๆ
พอเปิดรับข่าวสารมาก ๆ มักจะมีข่าวที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดของผู้นำประเทศหรือผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือทั้งหลาย

เรื่องที่ 1. ฉันไม่ชอบการทำรัฐประหาร ไม่ว่าคนที่ทำรัฐประหารจะป่าวประกาศว่า เขาทำเพื่อประเทศ พวกเขาเป็นคนมีคุณธรรม จริยธรรม แต่ดูจากการบริหารประเทศแล้ว ไม่เอาถ่านเลยนะคะ
มันเหมือนเขามองประชาชนอย่างเราเป็นพวกกะโหลก กะลา จะสั่งให้เราทำอะไรก็ได้ พวกเขาเอาปืน เอาระเบิดมาปล้นประชาธิปไตยของเรา ฉันก็กลัวเหมือนกันนะ ปืนนะ
ไม่ชอบความรุนแรง ฉันถึงต้องหลบอยู่ในกระดอง ไม่กล้าพูดอะไรมาก เลวสิ้นดีั
และฉันก็งงกํบหลายคนในประเทศที่จิตอ่อนเหลือเกิน ทำไมถึงเชื่ออะไรง่าย ๆ กันอย่างนี้

เรื่องที่ 2 ฉันไม่ชอบมาตรฐานการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ในประเทศไทยโว้ย อึดอัด
เรื่องที่
กำหนดการฉายหนังแสงศตวรรษไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ โดยคณะกรรมการมีเงื่อนไขให้ฉายหนังเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อต้องตัดฉากสำคัญออ กไป 4 ฉาก
อ่านเพิ่มเติมได้จาก

http://www.kickthemachine.com/works/Syndromes.html
http://a-century.exteen.com/20070410/entry
เราควรจะได้ดูแต่หนังที่ไม่มีความรุนแรง ไม่มีเซ็กส์ ไม่มีโจร มีแต่ความดีงาม แล้วความจริงบนโลกนี้ มันคืออะไร ทำไมเราไม่ยอมรับความเป็นจริง
ฉันว่าเราควรจะแก้ปัญหาให้ถูกจุดดีกว่า

จัดเรทคนดูมั๊ย

ถ้ามันมีปํญหาเรื่องคนทำเลียนแบบในหนัง และถ้ามันผิดกฎหมาย เราก็จับเขาขังความอิสระของเขาไว้ เพราะเขาใช้ความอิสระไปในทางที่ผิด แต่ไม่ใช่ห้ามทุกคนดู
ฉันอยากจะเป็นคนเลือกเองว่า อยากดูหนังอะไร คนทำหนังก็อยากจะทำหนังที่เขาอยากทำ
ถ้าฉันไม่อยากดูก็ขอเป็นคนเลือกเองว่าไม่ดู ฉันไม่ใช่กะโหลกกะลา แยกแยะไม่ออกว่านี่เป็นหนังที่เขาแต่งเรื่องขึ้น ไม่ใช่เรื่องจริง
และถ้าฉันเห็นเขากินเหล้าในหนัง แล้วฉันอยากกินเหล้าด้วย มันจะรุนแรงถึงขนาดต้องเซ็นเซอร์เลยเชียวหรือ
ฉันกินเหล้า และฉันจะดูดบุหรี่ และฉันก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนไม่ได้หรือคะ
คือถ้าเหล้าและบุหรี่ มันรุนแรงมาก ก็ห้ามขายกันไปเลย ให้เด็กเกิดใหม่ไม่ต้องรู้จักกันไปเลยดีกว่า
นี่แหละเป็นที่มาของหัวข้อ blog วันนี้ ว่า ฉันเป็นคนไม่ดี
และ ฉันไม่อยากเป็นคนดี อยากที่พวกมีคุณธรรม จริยธรรม กับพวกเซ็นเซอร์หนังทั้งหลายเป็น ซึ่งมันน่าแหวะกว่าอีก

Monday, April 9, 2007

oh oh I can't beleive.

ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ค่ะ ความสุขมันมีจริง ๆ นะคะ
อาจจะเพราะเรามีความสุขไ้ด้ง่าย ๆ

ก็เสื้อที่เราทำเป็น ปะ ๆ นะ มีคนชอบหลายคนเลย
ขายได้ไป 2 ตัวแล้ว
เราให้เขาเลือกระหว่างมีปะ กับ ไม่มีปะ
เขาเลือกเลยนะว่า เอาแบบที่มี ปะ ๆ ได้มั๊ยครับ
ได้เลย

เคล็ดลับความสุขของฉันง่ายมาก
"จงหาความสุขกับการงานที่คุณรัก"

อย่าหวังพึ่งความสุขจากคนอื่น จงมีความสุขได้ด้วยตัวเอง
เหมือนเป็นคนที่มีแสงสว่างในตัวเอง
มันจะทำให้มีรัศมีความสุขเผื่อแ่ผ่ไปถึงคนอื่นด้วย

ความสุขที่ได้จากคนอื่น ถือเสียว่า เป็นรางวัลของแถม เป็นอาหารอิ่มทิพย์ทางใจ

การรอความสุขจากคน มันจะมีความทุกข์เกินครึ่ง
เพราะเรามักจะคาดหวังว่าเขาจะอย่างโง้น อย่างงี้

เรามีเพื่อนหลายคนที่เป็นคนไม่ขำเลย เวลานั่งคุยร่วมกันในวง
หล่อนจะไม่ค่อยทันเพื่อน ๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังยิงมุกต่อมุกกันขำจะเป็นจะตาย
หล่อนจะนั่งนิ่ง ๆ เหมือนมุกไม่ได้เข้าไปในหูของหล่อน หล่อนไม่เข้าใจในความขำของพวกเรา
บางทีหล่อนก็แค่ยิ้ม ๆ แล้วก็ได้แต่พูดประโยคสุดท้ายที่เราพูดจบแล้วต่อด้วยคำว่าเร๋อ

โอ้ พระเจ้าจอร์จ เราเบื่อมาก ๆ กับคนที่ีไม่มีไหวพริบในการพูดคุย
อย่างน้อยน่าจะมีเสียงหัวเราะ เอิ้กอ้ากกันบ้าง มีความร่วมแลกเปลี่ยนแความรู้สึกกับเพื่อนๆ
แบบไม่ต้องมีมุกก็ได้
หล่อนเคยถามแฟนของหล่อนด้วยว่า เวลาอยู่กับฉันไม่เห็นเธอตลกเลย

เราก็เงียบเลย ปากน่ะคันมาก
อยากจะบอกว่า เวลาเราต้องการตลก เราก็ต้องมีอารมย์คิดมุก ส่งต่อ บิ้วตลกด้วยกัน
ไม่ใช่มานั่งรอฟังตลกอย่างเดียว
ไม่งั้นก็ไปตีตั๋วดูพี่โน้ต talk show เอาเถอะ

ต่อให้มีแฟนเป็นตลก เขาก็คงเล่นตลกให้หล่อนดูทุกวันไม่ได้หรอก
คิดว่า ถ้าเรามีแฟนแบบนี้ คงไม่คบตั้งแต่มาจีบแล้ว

Sunday, April 8, 2007

เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายนที่ปาย

ตอนเช้าที่ปายวันนี้ อากาศดีมาก ๆ
เย็นสบาย นี่ขนาดเป็นวันในเดือนเมษายนนะ
ต้องนอนห่มผ้า ไม่ต้องใช้พัดลม
เราไม่ได้ใช้พัดลมมาตั้งแต่เดือนอะไรก็จำไม่ได้
คร่าว ๆ ว่าเดือนมิถุนายนแล้วกัน
พัดลมบ้านเรามีแต่ฝุ่นกับหยากไย่
มันช่างตรงกันข้ามกับข่าวที่ออกรายวันว่า
ที่แม่ฮ่องสอนมีหมอกควันพิษหนามาก
และมีคนเป็นโรคทางเดินลมหายใจประมาณ 10000 รายแล้ว

ทำให้ได้คิดว่าข่าวทีออกไปมันก็จริงแค่บางส่วน
บางทีข่าวก็ออกไปดูน่ารุนแรงเกินเหตุ

อะไรกันนี่ ตื่นเช้าก็มีงานเยอะแยะเลยหรือนี่
จัดการทำตุ๊กแกตัวใหญ่ที่พวกทหารเสือน้อย 3 ตัวของเราจัดการไว้เมือคืน

แล้วก็ออกไปเปิดน้ำสปริงเกิ้ลรดน้ำต้นไม้
ต้มน้ำชงกาแฟ กินกับขนมไหว้พระจันทร์
ในใจอยากทำเสื้อต่อ
เราเอาเสื้อที่มีตำหนิ มาทำให้มันเป็นของใหม่ไม่เหมือนใคร
เสื้อมีตำหนิ มันทำให้เราคิดในสิ่งที่ไม่คาดถึง

เราเอาเศษผ้ายืดที่เหลือจากการเย็บเสื้อยืดมาปะตรงที่เป็นรู ตรงที่เปื้อนสีย้อม
จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเลือกสี และตัดเป็นรูปอะไรดี

ทำตัวแรกมันจะเกร็ง ๆ เหมือนไม่ค่อยกล้า ก็ได้รูปทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม
ตัวต่อมามันจะสวยขึ้น ๆ เหมือนขึ้นมือ ตัดรูปอะไรก็สวย
เป็นตัวเอล เป็นกากบาท เป็นเส้นเรียว เป็นวงกลมที่ใหญ่ขึ้น เป็นตัว พี

ตัวต่อไป เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเสียตรงไหน
มันท้าทายตรงนี้ ว่าเราจะตัดแปะอย่างไร
ความงามของศิลปะ็อยู่ที่ องค์ประกอบ สี ความว่าง รูปทรง

นี่แหละความสนุกของงานศิลปะ
ถึงไม่ได้เพ้นท์ ก็เหมือนเพ้นท์

เคล็ดลับการทำงานศิลปทีี่ออกรสชาติมากขึ้นของฉัน
คือการได้ทำงานกับคู่หู
ก็แน่นอน ก็ต้องมีการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ขัดแย้งก็มีเหนื่อยหน่าย แต่ก็สนุกดี เวลาคิดอะไรใหม่ ๆ ได้
ทำให้งานสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ได้ความรู้มากขึ้น เพียงแค่เราเปิดใจกว้างฟังผู้อื่นให้มากขึ้น

ที่สำคัญเราต้องสนุกในสิ่งที่อยากทำ
อย่าแสแสร้ง เพราะมันปกปิดไม่ได้
ความน่าเบื่อ ความไม่ลงตัว มันจะออกมาที่งาน

จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดีคือ หาให้เจอว่า เราชอบอะไรกันแน่จั๊ม

Saturday, April 7, 2007

วันนี้เหนื่อยจั๊ม

วันนี้เป็นวันจักรี วันหยุด คนเลยมาเที่ยว ไม่เยอะมากเท่าวันปีใหม่ แต่ก็เรื่อย ๆ
อาการปวดซ้นเท้าและตรงเส้นเอ็นตรงหลังมือ ก็เริ่มเจ็บอีกแล้ว สงสัยจะต้องกินยาตลอดกาลแล้วมั้งเรา
อากาศที่ปายเป็นอย่างไร คนที่จะมาปายมักจะอยากรู้
ก็ร้อนตอนกลางวัน ร้อนพอประมาณ ร้อนก็อยู่ในร่ม ก็โอแล้ว
หรือถ้ามีพัดลม มีไฟฟ้า ก็เปิดให้เย็นใจได้
ไงเราก็ว่าดีกว่าที่กรุงเทพ
เวลาเหนื่อยแค่ได้นั่งพัก ดูทีวีไร้สาระ มีเวลากินน้ำเย็น
ก็เขียนอะไรที่มันไร้สาระ ไม่อยากจะใช้หัวคิดเลย อยากนั่งเล่นแบบชิว ๆ
ไวตามิ้ลสักขวด

เหนื่อยแต่ก็สนุกนะ เพราะมันเป็นร้านของเราเอง
คนมาอ่านใหม่ ๆ อาจจะงง ว่า ร้านอะไร
เราเปิดร้านมิตรไทย เป็นร้านขายของที่ระลึกของปายจ๊ะ
ของส่วนใหญ่ก็ทำเอง หรือไม่ก็ดีไซด์เอง
ทำกับคู่หูที่อยู่ด้วยกันมา 11 ปีแล้ว
มีอะไรบ้างก็ลองเข้าไปใน http://mitthaiart.wordpress.com

Thursday, April 5, 2007

วันแรกของ gummymitthaiblogger

อะไรดลบันดาลหรือ...
ขณะที่กะลังอึ หัวสมองอันว่างเปล่า ก็คิดโน่นคิดนี่
อยากทำโน่น ทำนี่ เยอะเหลือเกิน งั้นเราเริ่มจดดีกว่าว่า
เราอยากทำอะไรบ้าง เออ เด๋วกูจะไปเปิด blog ให้แกเรยยย

blog เกิดมานานมากแล้ว อาจจะตั้งแต่ ปี 2000
เพิ่งจะมาฮิตมากเมื่อ ปีที่แล้ว
เราเองก็อยากมี blog เป็นของตัวเองตั้งแต่ปีที่แล้ว
แต่คุณเคยเป็นมั๊ย
มันกลัว กลัวเทคโนโลยี กลัวรับผิดชอบมันไม่ได้
ก็ถ้าทำ ก็อยากทำให้มันดี
อยากเขียนหนังสือ อยากบอกว่าตัวเองคิดอะไรบ้างในแต่ละวัน
มันจะรู้สึกอย่างไร ที่เราเริ่มวันนี้ที่จะมี blog เป็นของตัวเอง
แล้วอีก 10 ปีมาอ่าน เออเราคิดแบบนี้เร๋อ

ตื่นเต้นเว้ยที่จะมี blog เป็นของตัวเอง
เรารู้สึกมันเหมือนมีงานสำคัญชิ้นหนึ่งที่เราต้องรับผิดชอบ
อยากจะเข้ามาดูมันทุกวัน
มีเรื่องที่จะต้องทำอีกเยอะ

คิดว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้
เป็นคำตอบของคำถามที่มีคนชอบมาถามเราว่า
"ไม่เหงาเร๋อ อยู่ในเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้"

gummymitthai, 05 04 07