Pages

Thursday, November 1, 2012

30:) เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ 'โจ..ลูกอีสาน' กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก'



คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นจริง

ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็นความจริง!!! 

ในกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ โจนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!

โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง “ลูกอีสาน” ของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่นไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวันตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800,000 บาท กลับมาพิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน 


เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือหุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคาหุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา 

การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อ “จำกัดความเสี่ยง”

“ปกติผมจะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 10-15 ตัว แต่ช่วงนี้มีเยอะประมาณ 19 ตัว เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะไม่เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม แต่เน้นเป็นตัว ผมถือคติว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ”

คำจำกัดความของหุ้นที่เขาชอบลงทุนคือ “หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้” ถ้าใครรู้จักโจแทบจะไม่เห็นเขาลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่วีไอส่วนใหญ่ชอบลงทุน เขาให้เหตุผลง่ายๆ "มันแพงครับ!" (หัวเราะ) โจเล่าว่า ทุกวันนี้มีนักลงทุนแนววีไออยู่ 3 ประเภท พวกแรก...ประเภทเดียวกับผม คือ ชอบ "หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้" พวกที่สอง...ชอบหุ้นคุณภาพดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขอ "ถูก" ไว้ก่อน พวกสุดท้าย...ชอบหุ้น “ซูเปอร์สต็อก” ถูกแพงไม่ว่า ขอให้คุณภาพบริษัทดีไว้ก่อน ประเภทหลังนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์วีไอในประเทศไทย “ชอบมาก”

สำหรับวิธีการเลือกหุ้นลงทุน ข้อแรก.."ผมจะดูกำไร" ส่วนตัวมีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น 

"ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่าบริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว" 

ข้อสอง..ผมจะวิเคราะห์ "มูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นภายใน 1 ปีข้างหน้า" นำมาเปรียบเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบัน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (margin of safety) ยิ่งมาก..ยิ่งชอบ ถามว่าวิธีการคำนวณต้องทำอย่างไร? เขาบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษาเอง ไม่มีทางลัด นักลงทุนต้องไปอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) บ่อยๆ ตัวเองก็อ่านมาแล้วเกือบทุกบริษัท

โจ สรุปให้ฟังว่าหากมองในแง่ของตัวเลขจะดูหลักๆ ดังนี้ หนึ่ง..เน้นดูค่า P/E ควรต่ำเข้าไว้ แต่ถ้าคุณภาพดี ก็ไม่ต้องต่ำมากก็ได้ ปกติหากบริษัทนั้นมีคุณภาพที่ดี "ผมจะเพิ่มพรีเมียม..ให้ค่าเฉลี่ย P/E ขึ้นไปอีก 1 เท่า" แต่ก็ไม่ได้ใช้หลักการนี้ตายตัว ถ้าคุณภาพ "ดีปานกลาง" จะเพิ่มพรีเมียมค่าเฉลี่ย P/E อีกเพียง 0.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยปกติ พวกหุ้นค้าปลีก และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ "ดีที่สุด" เพราะมีการเจริญเติบโตทุกปี แถมงบการเงินก็ดี ผู้บริหารเก่ง และแทบไม่มีความเสี่ยง

สอง..เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 15% สาม..อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ธุรกิจทั่วไปไม่ควรเกิน 1 เท่า ไม่เช่นนั้นจะเริ่มเสี่ยง แต่บางธุรกิจมีข้อยกเว้น เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มลิสซิ่ง เป็นต้น
ข้อสุดท้าย.. ดูวงจรกระแสเงินสด บริษัทไหนมีเงินนอนอยู่ในบริษัทมากๆ ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาล และค้าปลีก เพราะเวลาเขาขายสินค้าจะรับเงินสดทันที แต่เวลาซื้อสินค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ 60 วัน เท่ากับว่าเขามีเงินสดกองในบริษัทตลอดเวลา แถมเงินส่วนนี้มีดอกเบี้ยด้วย

“ถ้าผมเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่บอก ผมจะเคาะขวา (ซื้อฝั่ง Offer) เลย เพราะกลัวมีคนมาแย่ง ไม่ต้องตั้งรอ ซื้อแพงหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวไหนดูแล้วอัพไซด์ไม่มาก..ก็รอหน่อย! ส่วนใหญ่จะซื้อทีเดียวเลย ถ้าลงมาก็จะซื้อเพิ่มอีก ตัวไหนดีมากจะซื้อไม่เกิน 30% ของพอร์ต ปกติจะมีหุ้นตัวหลักในใจ 6-7 ตัว” 

ก่อนจะเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จแก่นแท้ข้อหนึ่งที่จะต้องท่องไว้เลยคือ "เราซื้อธุรกิจไม่ได้ซื้อหุ้น" คนส่วนใหญ่ที่คิดว่าซื้อหุ้น เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น แต่หากคิดว่าซื้อธุรกิจ เราจะคิดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่จะคิดแบบซื้อธุรกิจได้คุณต้องศึกษาธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง

"บางคนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณต้องไปอ่านหนังสือ การลงทุนก็เหมือนปลูกทุเรียนปีเดียวคงไม่มีทางได้กิน แต่ผมวันนี้ศึกษาข้อมูลเพียง 1 วัน บางครั้ง 5-10 นาที ก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะผมพร้อมตลอดเวลารู้จักทุกบริษัทแล้ว"

มาถึงศาสตร์เรื่องจิตวิทยา และทัศนคติ โจเล่าว่า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ตลาดหุ้นจะมี 2 คน คือ "ตัวเรา" และ "นายตลาด" ตลอดเวลาเราจะซื้อขายหุ้นกับนายตลาด ซึ่งนายตลาดเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บ้าๆ บอๆ วันไหนอารมณ์ดีจะมาเสนอซื้อหุ้นเราในราคาสูงๆ แต่หากวันไหนอารมณ์หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย จะมาเสนอขายหุ้นให้เราในราคาต่ำๆ ฉะนั้นเรามี 2 ทางเลือก คือ 1. หาประโยชน์จากนายตลาด หรือ 2. ตกอยู่ในอิทธิพลของนายตลาด ดังนั้นหากเราเลือกถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวหุ้นตก 

"ผมพนันเลยว่ากว่า 90% ของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น จะกลายเป็นนายตลาดเสียเอง ยิ่งเขาไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากนายตลาดได้ เขาก็จะ “เจ๊ง” เห็นคนชอบขายหุ้นตอนราคาต่ำๆ แล้วไปไล่ซื้อช่วงสูงๆ..ถ้าเรามั่นใจถือเลย ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เชื่อมั้ย! ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมขาดทุนครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ขายของดีราคาต่ำจะขายทำไม! มันไม่สมเหตุสมผล ตรงข้ามเราควรซื้อเพิ่มถ้ามีเงิน อย่าไปหวั่นไหวตามตลาด คนที่อดทนผมรับรองไม่สำเร็จมากก็สำเร็จน้อยอย่างแน่นอน" เขากล่าวอย่างมั่นใจ

โจบอกว่า ทุกๆ วันจะมองหาหุ้นที่จะซื้อตลอดเวลา มองหุ้นบางตัวอยู่แต่ราคาอาจแพงไปนิด แถมโอกาสชนะมีแค่ 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น

“ที่ผ่านมาผมลงทุนในตลาดหุ้น 100% ตลอด จากสถิติพบว่าตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งในปี 2518 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี สูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ผมยังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดต่อไป” และ "โจ..ลูกอีสาน" ก็จะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้น ที่ที่เขารักตลอดไป!!!

รวยแล้ว!!! ยังอาศัยบ้านพักข้าราชการ สำหรับเป้าหมายการลงทุน อนุรักษ์ บุญแสวง บอกว่า ในปีนี้ ขอผลตอบแทน 30% ก็พอใจแล้ว แต่ระยะยาวอยากได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ทำได้เท่านี้ แต่เขาทำได้ติดต่อกัน 50 ปี ถามว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากมีพอร์ตสูงขึ้นเป็นระดับเท่าไร มาถึงตอนนี้ "ผมพอใจแล้ว"

ทุกวันอนุรักษ์จะตื่นเช้าไปส่งลูกทั้ง 3 คน ไปโรงเรียน (ลูกชายคนโต 9 ปี ลูกชายคนรอง 7 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง 3 ปี) ส่งเสร็จจะกลับมาอ่านข่าว บจ.ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ และอ่านบทวิเคราะห์ โดยจะไม่ฟังคำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง

"ผมถือคติว่า ฟังคนอื่นหรือลอกหุ้นคนอื่นชีวิตการลงทุนคงไม่รอด ที่ผ่านมาผมปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้ “อินไซเดอร์” ถึงได้กำไรก็ไม่ภูมิใจ เราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ไม่อยากเงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้าอายดิน"
สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการลงทุน โจไม่เคยนำไปซื้อบ้านหรือที่ดินทุกวันนี้ครอบครัวเขายังอยู่บ้านพักข้าราชการ (ภรรยาเป็นอาจารย์) เขามองว่า สินทรัพย์ประเภทนั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย และไม่เคยซื้อทองคำ ลองดูราคาย้อนหลัง 30 ปี ผลตอบแทนทองคำ "ห่วยที่สุด" แต่คนมองว่าทองคำดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

"ผมมีซื้อที่ดินในจังหวัดพังงา 40-50 ไร่ ให้พี่ชาย (อายุห่างกัน 2 ปี) นำไปปลูกปาล์มและทำสวนยาง ให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเอง"

ปัจจุบันอนุรักษ์ซื้อขายหุ้นหลายโบรกเกอร์ที่ บล.เอเซีย พลัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร และ บล.ธนชาต ถามว่าทำไม! ต้องเล่นหลายโบรก เขาตอบว่า อยากได้งานวิจัยที่หลากหลายและดีที่สุด นอกจากนี้แต่ละโบรกเกอร์มีโปรแกรมการซื้อขายไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่า บล.เอเซีย พลัส มีงานวิจัยดีที่สุด

เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้นักลงทุนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้นทันที ให้คิดว่าเรา "ซื้อธุรกิจ" ถ้าใครไม่พร้อมก็ให้ไปซื้อกองทุนรวมแทนก็ได้ ปัจจุบันมีหลายกองทุนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี

"ผมอยากฝากถึงนักลงทุนทุกคนว่า ถ้าอยากมีชีวิตหลังเกษียณที่ดีควรรีบลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ หุ้นเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง คือ มองหุ้นให้เป็นธุรกิจ และมีอารมณ์ที่มั่นคง หุ้นจึงจะกลายเป็น “บ่อเงินบ่อทอง” ขุดเท่าไรก็ไม่หมด แต่ถ้าลงทุนผิดวิธีมีเท่าไรก็หมดได้" 

Wednesday, July 21, 2010

29 : “ชีวิต” ที่เลือกแล้ว…ได้ทำแล้ว

วัน นี้ จะลงบทสัมภาษณ์ของอีกคนที่ลงในหนังสือพ็อคเก็ตบุค “โปสการ์ด ชา กาแฟ” ของสำนักพิมพ์ freeform ของพี่ปรายพันแสง คือบทสัมภาษณ์ของตัวเองค่ะ มันก็เป็นแค่ความคิดของช่วงวัยนี้ พอแก่ตัวอีก 10 ปี ความคิดอาจจะเปลี่ยนก็ได้ หรือว่าไม่เปลี่ยนก็ได้ ความคิดมันพัฒนาได้ ความคิดที่ถูกต้อง เถียงไม่ได้ ไม่มีที่ผิด ถูกทุกข้อ มันมีหรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ความคิดแบบนั้นน่าจะเป็นความคิดที่เป็นสัจธรรมมาก ๆ ที่เป็นจริงมาก ๆ ค้านไม่ได้เลย อย่างความคิดที่ไอน์สไตน์กำลังค้นหาคำตอบเดียวหรือสมการเดียวที่สามารถตอบ ทุกคำถามบนโลกใบนี้ได้ ไอสไตน์ก็ยังค้นคว้าไม่จบ ตายไปเสียก่อน หรือมันอาจจะมีก็ได้ แต่รู้สึกไม๊ว่า ทำไมเราไม่รู้สึกว่าเราต้องเป็นคนหาคำตอบพวกนี้ ก็ตัวฉันเอง ยังรู้สึกว่า ตัวเองคงทำไม่ได้หรอก เรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เอาแค่ แต่ละวัน ใช้ชีวิตแบบมีความสุขอย่างไม่มีกังวลยังยากเลย

คนไทยก็เป็นได้เท่านี้ ใช้ชีวิตสบาย ๆ ไม่มีปัญหา ฮาฮา กันไป

เช่นเดียวกับปาย ฉันไม่เคยคิดว่า ปายจะต้องเหมือนเดิม หรือปายจะต้องเป็นอย่างไร มีใครสามารถรู้ได้ด้วยเร๋อ ปายจะเป็นอย่างไร ต้องเป็นอย่างไร ปายเป็นอย่างไร แล้วแม่ฮ่องสอนหล่ะ ประเทศไทยหล่ะ โลกของเราหล่ะ มันต้องเป็นยังไง แล้วคนไทยเป็นคนยังไงหล่ะ ทำเรื่องพวกนี้เป็นกันด้วยเร๋อ ทำแบบที่พวกญี่ปุ่นที่เวลาเขาเป็นห่วงอะไร เขาคิดแก้ปัญหากันจริง ๆ จัง ปฏิบัติแล้วก็ยังพัฒนาอีกไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง รู้ว่าอะไรคือแก่นของปัญหา คนไทยพอจะทำอะไรหน่อยก็กลัวคนโน้นว่า ไม่อนุรักษ์ โอ๊ย ตะวันตกเกินไป แบบว่ามันไม่ปายเลย หรือมันไม่เหมือนเดิม แล้วที่เป็นแบบเดิมมันเป็นยังไง เป็นเดิมที่ดีแล้ว ไม่ต้องแก้ไข จะเดิมเมื่อไหร่ดี เดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว 20 ปีที่แล้ว 50 ปีที่แล้ว จะเดิมที่จุดไหนกัน มันมีเดิมไปถึงเมื่อ 100 ปีที่แล้วด้วยนะ แต่จะจุดเดิมก็ไม่เหมือนกันนะ โอ…มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากมาย เราเกิดมาก็แต่ชีวิตเล็ก ๆ ไม่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิดของคนทั้งโลกได้ คนในโลกทั้งในไทย ทั้งต่างประเทศ ต่างความคิด ต่างวัฒนธรรม โลกอยู่ได้ด้วยความหลากหลาย โลกให้พื้นที่ให้ทุกคนได้นอน ได้กิน ไม่ว่าคนนั้นจะรวย จะจน ต่างก็ต้องการการหายใจ ต้องการพื้นที่ส่วนตัว แค่เกิดมาเป็นหมา มันก็ต้องการยืนอยู่บนโลกนี้ด้วย เราไม่มีสิทธิ์ห้ามหมาอยู่บนโลกนี้ ฉันแค่คิดว่า แต่ละคนบนโลก ช่วยรับผิดชอบต่อโลกนี้ด้วยเถอะ อย่าโลภมาก อย่าเอาเปรียบกัน รักกันไม่ว่าเธอจะเป็นคนปาย เธอจะเป็นคนเชียงใหม่ คนกรุงเทพฯ คนลาว คนอเมริกา คนเยอรมัน คนอิรัก คนปากีสถาน ต่างคนต่างอยู่กันแบบเอื้ออาทร แบ่งปันกัน ทำมากได้มาก ขี้เกียจก็ได้น้อย ต้องยอมรับกรรมของตัวเอง อยากมีก็ต้องขยัน อยากมีความรู้ก็ต้องไปเรียนรู้ เอากันแค่นี้ยังทำกันยาก เพราะบางคนยังไม่รู้เลยว่า ฉันเกิดมาต้องทำอะไรเร๋อ ฉันก็เลยรู้สีกว่า ฝึกแค่ตัวเองไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้โง่ก็ยากแล้ว จะไปบอกให้คนอื่นเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ได้ยังไง ทำไมเขาต้องเชื่อเราด้วย และก็วกกลับมาที่ปาย ปายไม่ใช่ของใคร จะมาบอกให้เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ มันจะทำยังไงให้ถูกใจคนทุกกลุ่ม ฉันจึงได้แต่ทำเรื่องของตัวเองให้ดี รับผิดชอบตัวเองให้ดี ทำงานก็ทำออกมาอย่างตั้งใจ ไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ถ้ามันได้มา ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เราก็ไปใช้เพื่ออำนวยความสบายในชีวิต จึงคิดว่า ถ้าทุกคนมีสำนึกดีเพื่อปาย เพื่อประเทศไทย เพื่อโลก มันน่าจะออกมาในทางดีที่สุด ถ้าคิดดีมันก็น่าจะดีนะ แต่ความคิดของแต่ละคน มันก็คิดต่าง ต่างคนต่างว่าของตัวเองดี งั้นก็ต่างคนต่างทำกันไป อยากเกิดมาทำอะไร ก็ทำเถิด ขอให้ทุกท่านจำเริญ มีชีวิตที่เป็นสุข อย่าลืมว่า ไม่กี่วัน เราก็ต้องจากโลกนี้ไปเหมือนก้นหมด

เขียน ไปเริ่มรู้สึกว่า ที่คนไทยเป็นแบบนี้ เพราะคนไทยเราใช้ชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี ไม่กล้าแสดงความชัดเจน ว่าเราจะเป็นประเทศแบบไหนกันแน่ คนไทยก็เลยใช้ชีวิตกันแบบไร้ทิศทาง น่าเศร้า

เข้าเรื่องแล้วนะคะ ขอคัดลอกมาพอเป็นกระสัย ทำให้อยาก แล้วไปหาอ่านกันนะคะ

ถาม ก่อนหน้านี้เคยรู้จักปายมาก่อนหรือเปล่าคะ

ตอบ ไม่เคยรู้จักจริงจัง แต่ว่าเคยผ่าน เราเดินป่าไปปางมะผ้าปี 38 คือเพื่อน ๆ เราเริ่มเที่ยวแล้ว เขาบอกว่า เฮ้ย! ปายน่ะ เมืองเล็ก ๆ สวยดี แต่ว่าตอนนั้นเราไม่ต้องการเที่ยวเมือง เราอยากเดินทางในป่า กางเต็นท์ ดูชาวเขา นอนกับชาวเขา กินข้าวกับชาวเขา คืนละ 20 บาทเอง ตอนนั้นเดินมันส์มาก เหนื่อยตรงไหนก็พักกางเต็นท์ ทำกับข้าว เหมือนเดินป่าไปเรื่อย ๆ

ถาม ตอนมาอยู่ที่นี่ทางบ้านเห็นด้วยไหม

ตอบ เขาก็ไม่เห็นด้วย เอาใบปริญญาของเราทิ้งขยะหมดเลยนะ แม่บอกว่า อะไรวะ! เหมือนคนขี้เกียจ ทำไมใช้ชีวิตเหมือนคนขี้เกียจ หาว่าเราชอบเที่ยว แต่เรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็นหรอก เรารู้ว่าเราไม่ได้ไม่ได้ไร้สาระ ไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อน เราไม่เคยขอเงินแม่เลย มาก็มาด้วยตัวเอง การเกิดมาเก้าโมงต้องทำงาน แล้วห้าโมงออกจากสำนักงาน เราไม่ได้เลือก เรียนจบมาแล้วต้องเป็นแบบนี้ คือเรายังไม่รู้เลยว่ามีวิธีอื่นในการใช้ชีวิตอยู่ไหม เรายังไม่รู้เลยว่า เฮ้ย! เราอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องเข้าระบบก็สามารถมีชีวิตอยู่ได่้ ซึ่งไม่เคยมีใครบอกเราว่ามีวิธีไหนบ้าง เราจะทำเกษตรเหรอ ไม่รู้ ต้องมาทำต่างจังหวัด เราเคยลองทำเกษตรแล้วก็คิดว่าไม่ใช่เรา มันเหนื่อยเกินไป

ถาม ลองทำที่ไหนคะ

ตอบ เคยลองปลูกที่นี่ แต่มันเหนื่อยมาก มีปัญหาเรื่องเมล็ดที่เขาขายกัน มันปลูกได้ครั้งเดียว แล้วปลูกธรรมชาติไม่ได้ด้วย ต้องใส่ปุ๋ยใส่อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันทำไม่ได้ (หัวเราะ) มันเป็นหมันเป็นอะไรไปแล้ว แต่จะให้เราไปหาต้นกะเพราที่เป็นธรรมชาติมาก หรือไปหาต้นคะน้าที่ยังไม่เคยถูกจีเอ็มโอก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น กูยังไม่อยากค้นหาเรื่องนี้ก็แล้วกัน ก็เลยหยุด เพราะว่าเคยทำแล้วมันแคระแกร็นมากเลย (หัวเราะ)

ถาม มาอยู่ปายแรก ๆ ทำอะไรบ้าง

ตอบ อ่านหนังสือค่ะ อ่านหนังสือทุกวัน บางวันอ่านได้สามเล่ม นอนหลับปุ๊บ ตื่นขึ้นมาอ่าน นอนแปลใต้ถุน วันนี้หยิบมาเลยสามเล่ม อ่าน…หลับ ตื่นขึ้นมาอ่านต่อ เที่ยงทำกับข้าว เย็นนอนอ่านหังสือ แล้วก็ขี่จักรยาน ตอนเช้าจะขี่จักรยานออกไปฝั่งโป่งน้ำร้อนแล้วขี่กลับมา ออกกำลังกาย ตอนเย็นออกไปขี่อีกรอบหนึ่ง บางวันขี้เกียจอ่านหนังสือก็เดิน เดินให้หมดเลย ตรงไหนมีทางเดิน กูเดินเข้าไปหมด บางทีก็งงว่าออกทางนี้ได้ด้วย (หัวเราะ) เราไม่ได้เดินพร้อมกันสามคนนะ ต่างคนต่างเดิน อยากทำอะไรก็ทำ บางทีขี่จักรยานพร้อมกัน แต่ถ้าไม่อยากพร้อมกันก็ไม่พร้อม แล้วก็วาดรูป ถ้าวันไหนอยากวาดรูปก็ฝึกวาดรูปอยู่อย่างนั้น มีการประชันฝีมือ เฮ้ย ! วันนี้วาดรูปแข่งกัน ใครอยากวาดรูปก็ประชันฝีมือ ฝึกวาดมือ จากสีน้ำก็เป็นสีน้ำมัน วาดไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่อยากวาดเป็น อยากวาดให้มีความรู้สึกว่า สบายว่ะ กูรู้แล้ว ทีนี้กูจะวาดอะไรก็ได้ วาดได้หมดเลยนะ สนุกดี เดินเล่นนี่ก็เอาย่ามไปด้วย พอเจอตำลึงก็เก็บ เจอมะละกอที่เขาไม่เอาก็เก็บกลับบ้าน ผักบุ้งก็เก็บ ประหยัดสุด ๆ ใช้ชีวิตแบบประหยัดมาก แต่ไม่รู้สึกลำบากเลยนะ คือมันสนุกมาก เวลาซื้อแตงโมมาก็ผ่าแตงโมกิน เปลือกก็เก็บไว้ทำแกงส้ม คือทำทุกอย่างที่เราได้อ่านมา สนุกสนานดี ได้ทดลอง

ถาม ตอนแรกที่เปิดร้านผลตอบรับดีไหมคะ

ตอบ ก็เรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงขนาดรวยนะ เราได้แนวคิดจากฟูกูโอกะ เวลาเปิดร้านอย่าทำอย่างเดียว สมมติคุณจะขายเสื้อ อย่าขายเสื้ออย่างเดียว เหมือนกับการปลูกพืช อย่าปลูกพืชชนิดเดียว ปลูกข้าวต้องปลูกพริก ปลูกคะน้าด้วย ข้าวขายไม่ได้ เดี๋ยวขายพริกได้ เหมือนกัน บางวันขายเสื้อไม่ได้ ก็ขายโปสต์การ์ด โปสต์การ์ดขายไม่ได้ก็ขายกระเป๋า มันจะวน ๆ กัน

ถาม ได้ยินมาว่าเคยทำหนังสือชื่อยูโทปาย ช่วงเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ

ตอบ ยูโทปายเกิดตอนเป็นร้านอาหารปีสุดท้าย มีกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งมารู้จักกันที่นี่ แล้วทุกคนมีฝัน บางคนอยากเป็นนักเขียน บางคนอยากทำหนัง บางคนอยากเป็นศิลปิน บางคนเป็นเด็กที่เรารู้จักในปาย แล้วก็มีคนบ่นว่า “อยากทำหนังว่ะ อยากเขียนหนังสือว่ะ” พี่กนธ์เลยบอกว่า ถ้ามึงอยากทำ ก็หัดเขียนบทให้ได้ก่อน มารวม ๆกันเขียนหนังสือทำมือด้วยกันดีกว่า เขียนกันเอง อ่านกันเองไหม พี่กนธ์เขาคิดคำหนึ่งได้คือคำว่า “ยูโทปาย” มาจากยูโทเปีย แต่สลับเอกับไอเป็นปาย แล้วเราก็ทำหนังสือที่ผลัดกันเป็น บก. คนเป็น บก.ต้องรับผิดชอบตามต้นฉบับมารวมเล่ม คิดหน้าปก เขียนบท บก. แล้วก็อ่านกันเอง อยากเขียนอะไรก็เขียน จะด่ารัฐบาลหรือด่า อบต(เซ็นเซ่อร์ค่ะ มีคำหยาบ กลัวรับกันไม่ได้……….ทำมาได้หกเดือน ประมาณสามสิบแปดหรือสี่สิบฉบับ ทำทุกอาทิตย์ มีคนหนึ่งเป็นสถาปนิก ไม่ได้เขียน แต่ขอซื้อทุกฉบับเลย

งานเพ้นท์ชุด “like” 1998

ถาม แล้วเรื่องภาพวาด มาหัดวาดที่นี่

ตอบ เริ่มที่นี่ แต่จริง ๆ เป็นคนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว แต่มาหัดวาดจริง ๆ ที่นี่

ถาม ทำไมถึงชอบวาดภาพ มันมีเสน่ห์ยังไงคะ

ตอบ การวาดรูปมันมีความสุขมากนะ มันได้อยู่กับตัวเอง เรารู้สึกชอบศิลปะ ชอบดูเวลามีคนแสดงงานที่กรุงเทพฯ มีความสุขดี ทำให้จิตใจเราละเอียดอ่อน ทำให้รู้จักเรื่องความงาม องค์ประกอบ มันเกี่ยวกับชีวิตด้วยแหละ ที่เราชอบภาพวาดเพราะว่าถ้าเราศึกษาจริง ๆ ศิลปินแต่ละคนเขามีแนวความคิดไง เราชอบศึกษาว่าเขามีแนวคิดยังไง คิดอะไรกันถึงวาดออกมาอย่างนี้ แล้วมันจะมีผลเวลาทำงาน ศิลปะมันจะอยู่ในตัวเรา อยู่ในเสื้อ ในโปสต์การ์ด ในบ้านที่เราอยู่ งานศิลปะดัง ๆ ของพวกศิลปินดัง ๆ ที่เราศึกษาจะอยู่ในหัวเรา มันจะไปอยู่ในบ้านของเรา อยู่ในการใช้ชีวิต

ภาพวาดบ้านเช่าหลังแรก วาดปี 1998

ถาม ถ้ามาเห็นปายในตอนนี้ คิดว่ายังอยากอยู่ไหม

ตอบ ถ้ามาปายตอนนี้หรือ ? เราอาจจะไม่อยู่ในเมือง ไปอยู่ข้างนอก เพราะออกไปข้างนอก มันก็เงียบแล้ว แค่เดินถนนเส้นที่ไม่ใช่คนเดินก็เงียบจะตายแล้ว (หัวเราะ) ลองเดินเส้นทีเลียบถนนคนเดินก็ได้ รถสักคันยังไม่มีเลย ถ้าลองไปเดินถนนเส้นหน้าอำเภอ ก็ไม่มีมีคนแล้ว

ถาม อยู่มานาน เคยคิดจะไปอยู่ที่อื่นบ้างไหม

ตอบ ไม่เคย รู้สึกว่าอยู่ที่นี่แล้วถูกโฉลกมากเลย เมืองปายเป็นเมืองที่น่ารักมากเลยนะ คือเราอยากให้คนดี ๆ มาอยู่ ถ้าคนดีมาอยู่มันจะน่ารักมากเลย ทุกคนช่วยกันดูแลอย่าโลภมาก อยู่ให้มันพอประมาณ อย่าคดโกง ทำงานสร้างสรรค์ ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ดูแลธรรมชาติ รักษาสภาพแวดล้อม แล้วทุกคนจิตใจดี มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน น่ารักจะตาย เมืองมันเล็กไง รู้จักกันหมด อยากให้อยู่กันแบบน่ารัก ๆ แต่ว่ามันทำไม่ได้ เพราะคนเรามีทั้งดีและชั่ว พอคนเยอะก็ต้องมีคนชั่วอยู่ด้วย มันห้ามไม่ได้

พอหอมปากหอมคอค่ะ อยากให้คนอ่านไปคิดด้วยค่ะ เราจะเดินไปทางไหนดีคะ ไม่ต้องคิดเรื่องปายหรอกค่ะ เอาที่ตัวเราเองจะเดินไปทางไหนดี ประเทศไทยหล่ะ โลกของเราหล่ะ เอาไงดี

Blogged with the Flock Browser

Sunday, June 20, 2010

28 :) ปายกับชีวิตง่ายเรียบ แรงบันดาลใจจากหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว”

ได้แนะนำให้รู้จักกับพี่ปรายพันแสงแล้ว
ก็ถึงคราวที่จะแนะนำผลงานของเธอชิ้นหนึ่ง โดยเธอเป็น บรรณาธิการ ออกหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คที่ไม่เล็กนะ ชื่อเรื่อง โปสการ์ด ชา กาแฟ ปาย
เนื้อหาเป็นบทสัมภาษณ์มุมความติดของคนที่ใช้ชีวิตในเมืองปาย
อ่ะ แน่นอน เราทั้งสองคนติดร่างแหไปกะเขาด้วย
เมืองปายมันเล็ก ทำอะไรนิดหน่อย คนก็ฮือฮา
เคยคิดว่า ถ้าไปเปิดร้านแบบร้านมิตรไทยที่กรุงเทพ คงเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ไม่มีใครสนใจหรอก

สิ่งที่เราทั้งสองทำ ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร ใคร ๆ ก็ทำได้ ขอแค่ลงมือ
มันน่าสนใจตรง อะไรทำให้เราทั้งสองคิดไม่เหมือนคนอื่น
อยู่ต่างจังหวัด ทำยังไง หลายคนก็งง ไม่กล้า ก้าวเท้าออกจากกรุงเทพ ไม่มีเงิน กลัวแม่ด่า กลัวผี กลัวการอยู่คนเดียว ทำอะไรก็ไม่เป็น มันต้องเริ่มจากการไม่กลัว สนุกจะตายได้ทำอะไรเองบ้าง ทำกับข้าวเอง ไปเดินตลาด ปลูกต้นไม้ มีบ้านเช่าเป็นของตัวเอง แต่งบ้าน วางแผนชีวิตแต่วัน แต่ละวีค เดี๋ยวอนาคตมันมาเอง บางคนถาม แล้วจะไปทำอะไรกิน อันนี้ถ้าตัวเองยังไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไรบ้าง ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ชาวบ้านบางคน เค้าจบแค่ ป. 4 เค้ายังทำมาหากิน อยู่กันได้
ไม่มีอะไรน่ากลัว แค่ทำตามที่หัวใจบอก อยากทำอะไรก็ทำเถิด ไม่รู้ว่าเราจะตายวันไหน

เราคัดลอกบางช่วงของบทสัมภาษณ์มาให้ชิม แล้วที่เหลือ คุณ ๆ ก็ไปลองหาอ่านกันดูนะ

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

ถาม : เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด แต่ไม่ชอบสภาพสังคมในกรุงเทพฯ
ตอบ: ผมไม่ชอบวงจรที่ว่าตื่นมาอยู่ลาดพร้าว ไปทำงานสีลม ขึ้นรถสองต่อ แล้วรถติดอยู่สองชั่วโมง แต่ชอบการออกแบบนะ ชอบศิลปะ ชอบที่กรุงเทพฯ มีหอศิลป์ มีร้านหนังสือ มีแกลเลอรี่ มีห้องสมุด คือมันมีข้อดี แต่ผมไม่ชอบการเดินทางแบบนั้น ไปสองชั่วโมง กลับสองชั่วโมง

ถาม : จุดเริ่มต้นของการมาอยู่ปายนั้นมาจากหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว”
ตอบ : หนังสือคือตัวจุดประกาย มันจุดประกายผมมาก ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย! โลกนี้มีเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง แล้วเรามามัวทำอะไรให้มันยุ่งยากอยู่วะ คือผมอ่านหนังสือของฟูกูโอกะแล้ว ไม่ได้เชื่อว่าจะต้องทำการเกษตรนะ แต่การเกษตรเป็นสิ่งที่เขาทำแล้วเขาพบบางอย่าง จริง ๆ แล้วสิ่งที่ฟูกูโอกะคิดคือการตรัสรู้นะ เหมือนเขาพบแล้วว่าเขาคิดอะไรได้ ผมอาจจะแค่เข้าใจขั้นต้นๆ ของเขา ว่าคนเรามันใช้ชีิวตยุ่งยากไปหรือเปล่าวะ

ถาม : เหมือนกับว่าวิถึชีวิตแบบที่เราเชื่อกัน มันคือการเดินอ้อมไปไกลจากที่เป็นจริง
ตอบ : ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างที่อ่านนี่มันเป็นหนังสือของติช นัท ฮันห์ หรือฟูกูโอกะ มันจะปน ๆ กัน คุณจะกินข้าวจานหนึ่ง แทนที่คุณจะเด็ดผักจากตรงนั้นตรงนี้มา แล้วก็ผัดหรือหุงข้าว เสร็จแล้วคุณก็กินข้าวใช่ไหม แต่คุณต้องเดินอ้อมไปเรียนหนีงสือ เรียนอนุบาล เรียนมัธยม เรียนมหาวิทยาลัยเรียนปริญญาโท ไปทำงานแล้วก็ซื้อข้าวมากิน นี่คือการเดินอ้อมไง

ถาม : แต่เราก็ชินกับวงจรหรือวิถีชีวตแบบนี้
ตอบ : ใช่ นั่นคือความยากในชีวิตที่ผมรู้สีก แล้วฟูกูโอกะคือคนที่บอกว่า เฮ้ย! ชีวิตมันง่ายกว่านั้น แต่คุณต้องไปตีความเองว่าง่านกว่านั้นที่คุณจะทำคืออะไร ผมว่ามันเป็นปรัชญาอันหนึ่งที่ตีความได้ไม่เหมือนกัน ผมจับได้แค่ว่าอย่าไปทำชีวิตให้มันยากมาก เหมือนการทำงาน งาน งาน งาน เพื่อเอาเงินเดือนไปซื้อข้าว คือมึงก็เอาข้าวมาหุงเลยสิวะ

ถาม : เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าอยู่ปายมีกฏอยู่สองข้อคือ ไม่กลัวและไม่โลภ ทุกวันนี้กฏนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
ตอบ : จริง ๆ มีสามข้อนะ เพราะอันนี้เราเขียนเอง คือไม่กลัว ไม่โลภ แล้วก็ไม่โง่ด้วย ตอนนั้นเขียนเพื่ออธิบายอะไรบางอย่าง แต่ไม่ใช่กฎเกณฑ์มหัศจรรย์อะไร ซึ่งผมคิดว่าทุกวันนี้ก็ยังใช้กฏนี้นะ ไม่กลัว คืออย่าไปกลัวที่จะต้องเปลี่ยนชีวิต เมื่อก่อนมาอยู่ปยมันเหมือนกับว่าคุณจะต้องเปลี่ยนไง มันต้องหักมุมเลยละ ไม่โลภ ก็คือไม่ต้องเอามาก เดี๋ยวมันได้เอง แต่อย่าไปตั้งเป้าว่ากูพิมพ์โปสการ์ดนี่ จะต้องขายให้ได้ภายในเดือนนี้ อะไรแบบนั้น ไม่โง่ คือ พยายามคิดทุกวัน คิดให้เป็นนิสัย อย่าไปคิดแค่ว่ากูจะรวยเมื่อไหร่

ถาม : สำหรับคที่จะมาอยู่ปายในปัจจุบันนี้ จำเป็นจะต้องมีกฏเกณฑ์อะไรเพิ่มเติมไหมครับ
ตอบ : คือจริง ๆ กฏนี้ผมก็ไม่ได้คิดเอาไว้เผื่อใครหรอกนะ เหมือนเราเตือนตัวเองมากกว่า ถ้าเป็นตอนนี้ผมมองว่า สมมุติคุณเพิ่งรู้จักปานในปีนี้หรือสักสองปีที่ผ่านมานี้ มันเป็นช่วงสูงสุดของมันน่ะ ถ้าเป็นกราฟเนี่ย มันเดินมาถึงยอดเขาแล้ว ถึงร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังเดินลง ถ้าคนขายนาน ๆ จะรู้ว่ามันเดินลง คืออาจจะไม่ได้ลงไปจนถึงต่ำสุด อาจจะเจ็ดสิบหรือไม่ก็หกสิบแล้วเสถียรเป็นเส้นตรง สำหรับคนที่เพิ่งมาอยู่ปีสองปีนี้ ที่เห็นปายในสภาพจุดร้อย ถึงตอนนั้นจะไหวหรือเปล่า แต่เราเคยอยู่มาตั้งแต่จดต่ำสุด อยู่ที่ศูนย์ ใช้วันละ 70 บาท ก็เคยอยู่มาแล้ว ไม่มีรายได้เลย เราก็อยู่มาแล้ว เพราะฉะนั้นเราเหมือนมีวัคซีน เราอยู่ได้หมด

ถาม : ในฐานะร้านแรก ๆ ที่ขายสินค้าเกี่ยวกับปาย มองปรากฏการณ์ที่ถนนคนเดินเต็มไปด้วยร้นเสื้อยืด ร้านขายโปสการ์ดอย่างไรบ้าง
ตอบ : ผมรู้สึกว่าปัญหาของถนนคนเดินคือ เริ่มต้นเลยนะ ปายมันไม่มีอะไร ไม่มีโปสการ์ดสักใบ ไม่มีเสื้อสักตัวเลย แต่พอมีร้านมาทำ หนึ่ง สอง สาม สี่ จนถึงปัจจุบัน กลายเป็นว่าทุกคนคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ คุณต้องไปหาอะไรที่ไม่มีสิ ถ้าคุณหาสิ่งที่ไม่มีได้ คุณก็จะเป็นคนแรกที่ได้ทำมัน ปัญหาคือคนเราชอบเดินบนทางเส้นเดียวกันมากเกินไป สมมุตินะ อย่างคำว่า i (love เป็นรูปหัวใจสีแดง) pai มันก็น่ารักนะ คือมันมาจาก i (love เป็นรูปหัวใจสีแดง) NY แต่ถ้าเดินไปสามเมตรมีแต่ i (love เป็นรูปหัวใจสีแดง) pai หมด มันก็จะอ้วกไง อันนี้แหละคือปัญหา แทนที่คุณจะไปหาคำอีกคำที่ไม่ใช่ i (love เป็นรูปหัวใจสีแดง) pai แล้วต่างคนต่างสร้างคำขึ้นมา หรือเสื้ออาจจะพัฒนาไปเป็นหมวก ไปเป็นผ้าพันคอ ไปเป็นถุงเท้า อะไรอีกก็ได้ แต่เราไม่ยอมคิดกันแบบนี้ เราไม่ยอมเสี่ยง อย่างตอนผมทำโปสต์การ์ดครั้งแรกนี่ ผมเสี่ยงนะเว้ย ผมพิมพ์สี่พันใบ นี่มันจะขายหมดหรือวะ แต่ถ้าทุกตารางเมตรมันขายโปสต์การ์ดกันหมดก็น่าเบื่อไง อันนี้คือ คนไทยขาด มันอยู่ในกฏที่ว่าไม่โง่นี่แหละ ถ้าคุณคิดไปอีกมันก็จะเจออีกนะ แต่คุณก็เดิน ๆ ไปเหมือนอย่างที่เขาเดิน วันหนึ่งก็ล่มกันหมด

ถาม : ไม่ได้คิดว่าปายจะเปลี่ยนแล้วต้องย้ายหนี
ตอบ : ไม่ได้คิดเลย มันจะเปลี่ยนยังไงก็เปลี่ยนไปนะ ผมว่าทุกที่บนโลก ยิ่งเป็นที่ที่มีคนสนใจ มันยากมากที่จะไม่เปลี่ยน เคยมีคนพูดกับผมว่าปายเปลี่ยนไปเยอะเลยว่ะ รับไม่ได้ ผมก็เลยบอกว่าเวลานั่งรถเมล์มาปาย มึงก็กระโดดลงแถวแม่แตง ป่าแป๋ อะไรแบบนั้นสิ ตรงนั้นน่ะไม่ค่อยเปลี่ยน แล้วทำไมมึงไม่ลงไปตรงนั้นกันวะ ลงไปแล้วก็นอนโฮมสเตย์ ขอชาวบ้านพักก็ได้ มึงมาถึงนี่แล้วจะบ่นทำไม คุณมาถึงนี่ก็เพราะคุณดูสื่อมา คุณอ่านมา คุณดูมิวสิกวีดีโอมา มีคนดูพร้อมกันกี่ล้านคนว่ะ มาแค่แสนคนก็เต็มจนล้นแล้ว

เอาแค่พอหนวดงอก ไปหาอ่านเอาเพิ่มเติมเอง เจ้มจ้นแน่นอน ไม่เชื่อให้ดึงหนวดเลย แฮ่… เราไม่มีหนวด เราเป็นผู้ยิ๋งน่ะ

Sunday, May 30, 2010

27 : ) freeform in pai now

เมืองปาย เมืองเล็ก ๆ ที่นับวันก็ยิ่งเล็กลง เอ…หรือว่าไม่ใช่ ฉันชักไม่แน่ใจ ฉันว่าน่าจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะเมืองมันเร่ิมขยายออกไป แต่ก่อนเดินในเมือง ให้ 1 ชั่วโมงก็เดินครบทุกซอย ดูครบทุกร้าน บางทีต้องเดินมาซ้ำร้านเดิมเพราะร้านมันมีแค่นี้ กินอยู่นั่นแหละ ร้านนี้กินมา 3 มื้อแล้ว โปสการ์ดก็ซื้อมันแต่ร้านนี้ ก็มันมีร้านอยู่แค่นี้ แต่มาตอนนี้อาจต้องใช้วเวลาหลายวันหน่อย เพราะในเมืองตอนนี้ เต็มไปด้วยร้านที่น่าสนใจมากกว่าแต่ก่อนมาก เวลาแค่ 3 มื้อ หรือ 1 คืนอาจไม่พอ ถ้าจะเดินสำรวจกันก่อนแล้วค่อยซื้อ อย่างนั้นน่าจะเที่ยวปายอย่างน้อย 2 คืน ยิ่งมาตอนหน้าหนาว จะเลือกเสื้อซักตัว มีให้เลือกประมาณแผงเว้นแผง บางทีมันก็ขายติดๆ กันไปเลย เห็น ๆ กันไปเลย ว่า ร้านไหนขายได้ ร้านไหนไม่ได้ขาย

เห็นเป็นเมืองเล็ก ๆ อย่างปาย แต่ก็มีเสน่ห์ยังกะรุ่นใหญ่ ไม่ยอมแก่ตายง่าย ๆ เพราะยังมีนักคิด นักเขียน นักดนตรี ศิลปิน หรืออิสระชนที่ต้องการค้นหาบางอย่างจากการเดินทาง เพื่อพบปะพูดคุยกับเพื่อนเดินทางร่วมโลก มันต้องยังมีคนที่ชอบเดินทางทั่วโลกอยู่อีกแหละ ความรู้สึกที่อยากท่องโลก ไม่ต้องทำงาน ได้ใช้ชีวิตที่ กิน ดื่ม เที่ยว แบบไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการทำมาหากิน เจอหนุ่ม จีบหนุ่ม เจอสาว แหล่สาว เจอนักคิด เจออาร์ติสจิตแตก เจอแดนซ์เซ่อร์ท่าแปลก ๆ เจอคนตลก ๆ มันดี ไอ้ความรู้สึกที่อยากเดินทางมันเป็นความรู้สึกที่พิเศษ มีพลัง มีมนต์ขลัง ดูน่าอิจฉา ดูตื่นเต้น ดูน่าจะเอามาเป็นพอร์ทเขียนบทหนังให้หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่อยากหาประสบการณ์ ชีวิต อยากรู้ว่า ชีวิตคืออะไร อยากหาคำตอบว่า รักคืออะไรด้วย คิดถึงเรื่อง before sunrise ล่ะสิ อืม…

ถามว่าฉันเคยรู้สึกแบบนี้ไม๊… เคยสิ เมื่อ 15 ปีก่อน ฉันฝันว่า ฉันจะต้องเดินทางเป็นเดือน ๆ ให้ได้ ฉันอยากเดินทางไปทั่วประเทศไทย อ้อทั่วโลก มันไม่ไหว ไม่มีเงิน และก็ทำพาสปอร์ตยังไม่เป็นเลย เอาทั่วเมืองไทยให้ได้ก่อนเถอะ อยากเดินทางไปทีละจังหวัด ฝึกถ่ายรูป วาดรูป เขียนประสบการณ์ที่ผ่านชีวิตของฉันไปทุก ๆ วัน จดความคิดเห็นทุก ๆ ความเห็นที่น่าสนใจ จดคำพูดของนักเดินทาง จดสิ่งที่ได้เห็น ได้ฟังจากชาวบ้านที่เราไปเยือน ค่ำไหนนอนนั่น ขอเขากางเต๊นท์ ขอแค่เข้าห้องน้ำหน่อย ถ้าเหนื่อยมากก็ขอนอนบ้านโน้นที บ้านนี้ที เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เรายังรู้สึกว่า ชาวบ้านจะอบอุ่นและมีน้ำใจมาก ๆ แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน

ทำเป็นพูดไปอย่างนั้น แต่ภาพในหัวจริง ๆ คือ เห็นตัวเองนอนอยู่ริมทะเล นั่งวาดรูป นอนอ่านหนังสือ เขียนบทความ เขียนบทหนัง เขียนไดอะรี่ หิวก็เข้าไปสั่งอาหาร ถ้าเงินหมดก็จะขอเขาล้างจาน เป็นเด็กเสริฟ แอบหวังเล็ก ว่า จะมีคนมาสนใจ มาจีบเราบ้าง พูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องการใช้ชีวิต คุยเรื่องความฝันกันทั้งคืน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พร้อมกับกองขวดเบียร์เป็นโหล ๆ อยู่ข้างหน้า แต่หน้ากว่านั้นคือมีคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งตลอดเวลา ลมเย็น ๆ พัดเอื่อย ๆ ไม่เอายุง และแมลงใด ๆ เข้ามาเกี่ยว ขอร้อง ขอชิว ๆ อย่ากวนสิ นี่แค่ในฝันน่ะ

ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ เพียงแค่อยากจะรายงานว่า เมืองปายเมืองเล็กแห่งนี้ ถึงแม้จะมีคนห่วงใยมากมายว่า มันเน่าแล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็มีนักเขียน นักคอลัมนิสต์ที่มีชื่อ มาเปิดร้านหนังสือชื่อฟรีฟอร์ม เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ free from เอง อ่านเรื่องราวของเธอได้ ใน http://prypansang.blogspot.com/ เธอ ชื่อ ปรายพันแสง ค่ะ เขียนประจำอยู่ มติชนรายสับดาห์ เธอเป็นนักกิจกรรม คิดว่าในปีนี้ เธอคงจะมีกิจกรรมดี ๆ มากมายที่คิดจะทำในปาย น่าจะทำให้เมืองปายมีสีสัน เพิ่มเรื่องของศิลปทางวรรณกรรมให้ดูคึกคักขึ้น ติดตามงานของเธอได้ที่เวปไซด์ของเธอ

ในปีนี้ เธอได้ออกหนังสือ โปสการ์ด ชา กาแฟ ปาย บันทึกมุมคิดคนที่ใช้ชีวิตในเมืองปายนานปีหลายคน ต้องขอขอบคุณที่พี่ปรายให้เกียริตคนอย่างเราได้พูดคุยลงในเล่มนี้ด้วย แล้วจะมารายงานเนื้อหาอีกทีในบล็อคหน้าเร็ว ๆ นี้

เป็นโชคดีของคนปายที่เป็นนักอ่าน มีโอกาสหาหนังสือดี ๆ มาให้ซื้อหาอ่านถึงที่ไม่ต้องถ่อไปถึงเชียงใหม่นู่น ยังไงเมืองปายของเราก็ยังน่าสนใจอยู่ดี ถึงแม้จะมีคนชอบให้ข่าวโจมตีมันอยู่เรื่อย และฉันก็ยังคงรักเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ตลอดไป

Blogged with the Flock Browser

Wednesday, May 19, 2010

26 : ) มีเรื่องมาประกาศให้แซ่บ ร้านมิตรไทยย้ายร้านชั่วคราว

ช่วงเดือน เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน ร้านมิตรไทยขอย้ายร้านชั่วคราวเพื่อปรับปรุงร้านใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม

เพื่อว่า ป้อ แม่ ปี้น้อง จะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกัน หายใจรดต้นคอกัน
เพื่อ สิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตยที่แท้จริง ในการเลือกดูสินค้า
เพื่อ ไม่ถูกกีดกันทางการรับสื่อ ไม่ถูก ปิด หู ปิด ตา รับสื่อข้างเดียว

ย้ายไปไหน
มิตรไทยไปไหนไม่ไกลหรอกค่ะ
จากร้านเดิม เดินหน้ามาทางสี่แยกไฟแดงน้องเบียร์ แล้วเลี้ยวซ้าย เดินผ่านวัดหลวงก็จะเจอตึกสีขาว ก็จะเจอร้านมิตรไทย ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่เกิน 300 เมตร น่าจะประมาณ 500 ก้าว เดินกำลังสบาย ๆ หอมปากหอมคอค่ะ
รูปโฉมร้านที่เราจะขออาศัยอยู่ชั่วคราว เป็นที่หลบฝน หลบแดด เก็บของ เก็บเนื้อ เก็บตัว เงียบ ๆ

แวะมาเยี่ยมเราได้ค่ะ :)
เมื่อเราปรับปรุงร้านเดิมเสร็จแล้วก็จะย้ายกลับไปที่เดิมค่ะ
ไม่ต้องประท้วงนะคะ เราจะกลับไปที่เดิมแน่ ๆ ภายใน 3 เดือน ไม่ใช่ 9 เดือนนะค้า

Blogged with the Flock Browser

25 : ) Old mitthai paper model

ด้วยความซุกซนของนิ้วเฮีย คลิกไปเจอสิ่งที่เป็น อแมซซิ่งร้านมิตรไทย ที่เราไม่คิดว่าอะไรมันจะน่ารักขนาดนี้

  • ร้านมิตรไทยชื่อดัง โต๊ะเขียนโปสการ์ดตู้ไปรษณีย์สีแดงและหลักกิโลปาย

  • มาดูโปสการ์ดใบจิ๋วชัดๆ และประตูที่ออกมีเทคเจอร์เล็กๆ

  • ตู้ไปรษณีย์สีแดง ออกแบบมาแล้วชอบมาก

  • ตู้ไปรษณีย์ไม้ตั้งใจทำให้ดูเก่าๆหน่อย

  • ป้ายต่างๆ

  • ตู้ไปรษณีย์สีแดง โต๊ะ และหลักกิโล ใหญ่กว่าเหรียญ 1 บาท นิดหน่อย

  • โมเดลลูกค้า ใส่กล่องพร้อมส่งครับ

  • ต้นแบบเล็กน้อยเผื่อใครยังไม่ได้ไปเยือนครับ

เป็นผลงานของน้อง nonnoy เราก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่นับถือฝีมือ และหัวใจที่เต็ม 100 ออกแบบและตัดกระดาษให้เนี๊ยบมาก ฝีมือระดับนี้ อนาคตไกล ไม่ค่อยมีใครทำเป็น ถ้า nonnoy มาเที่ยวปาย มาคุยกันหน่อยนะ อยากรู้จักมั่ก มั่ก
ตอนนี้เราย้ายร้านแล้ว โมเดลนี้ก็จะเป็นร้านมิตรไทยเก่า ที่ถูกรื้อไปแล้ว กลายเป็นของเก่า ของโบราณไปแล้ว
เรากำลังปลูกสร้างร้านใหม่ในที่เดิม มันต้องดีกว่าเดิม พบโฉมใหม่ของร้านมิตรไทย เร็ว ๆ นี้ coming soon
Blogged with the Flock Browser